การ<strong>ผายลม</strong> ปฏิกิริยาทางร่างกายที่เป็นมากกว่าการพ่นลมเหม็นออกมา

มีหลายปฏิกิริยาทางร่างกายเลยทีเดียวที่สามารถสร้างความอับอายให้กับเจ้าของร่างกายอย่างเราได้เป็นอย่างดี และหนึ่งในนั้นก็คือการผายลมนั่นเอง มันเป็นการที่ร่างกายของเราขับแก๊สของเสียออกมามันจึงมีกลิ่นที่ค่อนข้างเหม็นแถมบางครั้งยังมีเสียงดังอีกด้วย แต่ความเป็นจริงแล้วการตดนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่การปลดปล่อยแก๊สออกมาเพียงแค่อย่างเดียวแต่อย่างใด มันยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เราไม่รู้และมันจะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย รวมสิ่งที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับการผายลม การผายลมนั้นเป็นการที่ร่างกายของเราขับแก๊สของเสียออกมาซึ่งใน 1 วันนั้นเราสามารถตดออกมาได้สูงสุดถึง 14 ครั้งต่อวันกันเลยทีเดียว และเมื่อไหร่ที่มีอาการดังกล่าวขอให้เรารู้สึกดีใจเอาไว้ได้เลยเพราะมันเป็นสัญญาณที่กำลังบอกว่าเรานั้นมีสุขภาพดี ไม่มีปัญหาในระบบการย่อยหรือการขับถ่ายแต่อย่างใด ดังนั้นหากคุณพบว่าตนเองนั้นไม่เคยตดเลยในแต่ละวันควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุต่อไป ส่วนประกอบที่อยู่ภายในลมที่ออกมานั้นจะเป็นกรดกำมะถันซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งกลิ่นเหม็น ความเร็วของลมที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างกายของเรานั้นมีแรงดันที่สูงเป็นอย่างมาก แรงลมวัดแล้วสามารถเร็วได้ถึง 10 ฟุตต่อวินาทีหรือ 11 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกันเลยทีเดียว สำหรับใครที่ชื่นชอบการรับประทานถั่ว เคี้ยวหมากฝรั่งอยู่เป็นประจำ หรือชื่นชอบการดื่มน้ำอัดลม คนกลุ่มนี้จะมีโอกาสในการตดมากกว่าคนอื่นเนื่องจากการเคี้ยวหมากฝรั่งจะทำให้ลมเข้าไปทางปากของเรา เช่นเดียวกับน้ำอัดลมและถั่วที่เต็มไปด้วยแก๊ส บนโลกใบนี้มนุษย์ไม่ใช่สัตว์ที่ตดบ่อยที่สุดแต่อย่างใดแต่เป็นปลวกต่างหาก นอกจากนี้ยังรวมไปถึงสัตว์ขนาดใหญ่อย่างเช่นช้าง อูฐ ม้าลาย วัว แกะ ไปจนถึงสุนัขเลยทีเดียว การที่เสียงของปฏิกิริยาดังกล่าวในแต่ละคนไม่เหมือนกันนั้นเกิดจากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นความกระชับของกล้ามเนื้อบริเวณก้น ปริมาณ แรงดันภายในร่างกายของแต่ละคนส่งผลให้บางคนก็มีเสียงและบางคนก็ไม่มีเสียงเลย จากสถิติแล้วผู้ชายนั้นจะตดบ่อยกว่าผู้หญิงเนื่องจากผู้ชายจะปลดปล่อยออกมาเลยไม่ค่อยกั้นไว้แต่อย่างใด ในขณะที่ผู้หญิงนั้นจะมีสถิติที่กลิ่นแรงกว่า หากเราอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นจะต้องกลั้นเอาไว้อย่างเช่นการอยู่ในลิฟท์หรือในห้องประชุม ความจริงแล้วการกลั้นตดนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายแต่ก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อร่างกายเช่นเดียวกันเพราะจะเกิดแรงดันในช่องท้องหรืออาจทำให้เป็นตะคริว มีการสะสมของแก๊สในท้องจนทำให้เรารู้สึกปวดท้องได้แบบไม่จำเป็น ทำอย่างไรหากไม่อยากผายลมบ่อย หากคุณไม่อยากผายลมบ่อยหรือเหนื่อยกับการกลั้นตดในที่สาธารณะเต็มทนก็มีวิธีการเช่นเดียวกัน วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการรับประทานอาหารให้ช้าลง เคี้ยวให้ละเอียดก่อนที่จะกลืนเนื่องจากจะทำให้กระเพาะอาหารของเราสามารถทำงานได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม การออกกำลังกายก็สามารถช่วยลดแก๊สที่อยู่ในกระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงอาหารที่เต็มไปด้วยแก๊สอย่างเช่นน้ำอัดลมหรือถั่วก็จะสามารถช่วยได้เช่นเดียวกัน #สุขภาพ #ทริค #การผายลม
รู้หรือไม่ <strong>สะอึก</strong>มากเกินไปอาจหมายถึงเป็นโรคหลอดเลือดสมอง

อาการสะอึกนั้นเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนตั้งแต่เราเกิดมาจนถึงวันสุดท้ายบนโลกใบนี้ มันเป็นอาการธรรมดาทั่วไปดังนั้นบางครั้งเราจึงไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เราจะต้องระมัดระวังหรือใส่ใจ ขอเพียงแค่มันหายไปและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติก็พอใจแล้ว แต่หากคุณสะอึกมากจนเกินไปหรือมีอาการสะอึกไม่หยุดอาจเป็นสัญญาณอันตรายที่กำลังบ่งบอกว่าคุณป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองก็เป็นได้ แล้วอาการสะอึกแบบไหนที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเรากำลังเป็นโรคร้าย เราจะพาทุกคนไปดูกัน เพราะเหตุใดอาการสะอึกจึงเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง อาการสะอึกนั้นเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไปโดยเกิดจากการเคลื่อนไหวของกระบังลมโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจและยังเกิดขึ้นแบบกะทันหันด้วย กระบังลมนั้นเป็นกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ที่อยู่ในส่วนล่างของปอด ทำงานร่วมกับกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยึดครองเอาไว้ด้วยกันให้เราสามารถหายใจได้อย่างสะดวก แต่หากปลายปิดของเส้นเสียงมีการเคลื่อนที่ตามการเคลื่อนไหวของกระบังลมก็ทำให้เรามีอาการสะอึกตามมา โดยสามารถหายได้เองหลังจากผ่านไปไม่นาน อาการที่ไม่อันตรายและไม่ต้องรับการรักษาสำหรับภาวะปกติ แต่หากคุณมีอาการสะอึกแบบไม่หยุดติดต่อกันเกิน 48 ชั่วโมงนับว่าเป็นอาการผิดปกติที่เราต้องพบแพทย์เพื่อรับการรักษาเนื่องจากมันกำลังเป็นสัญญาที่อาจหมายถึงเรากำลังป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองก็เป็นได้ เราสามารถสังเกตอาการอื่นร่วมด้วยได้อย่างเช่นมีปัญหาในการมองเห็นทั้งดวงตาข้างหนึ่งหรืออาจเกิดขึ้นทั้ง 2 ข้างแบบกระทันหัน รู้สึกปวดศีรษะรุนแรงอย่างกะทันหัน รู้สึกวิงเวียนศีรษะและร่างกายเสียความสมดุลจนไม่สามารถเดินเหินได้ตามปกติ มีปัญหาเกี่ยวกับการพูดไม่ว่าจะเป็นพูดไม่ชัดหรือไม่สามารถพูดได้แม้ว่ามีสติรู้ตัวดีก็ตาม ไม่สามารถยกแขนข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างได้อย่างกะทันหันเนื่องจากอ่อนล้าหรือรู้สึกชา กล้ามเนื้อใบหน้าหดลงข้างใดข้างหนึ่งอาจเกิดขึ้นทั้ง 2 ข้างทำให้ไม่สามารถยิ้มหรือพูดได้ตามปกติ นอกจากโรคอันตรายดังกล่าวที่สะอึกสามารถเป็นสัญญาณเตือนได้แล้วยังมีโรคอื่นอีกด้วยไม่ว่าจะเป็นภาวะทางจิตอย่างเช่นมีอาการหวาดกลัวหรือช็อก มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอย่างเช่นป่วยเป็นโรคหอบหืดหรือมีอาการปอดบวม มีปัญหาเกี่ยวกับระบบเผาผลาญอย่างเช่นภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง รวมไปถึงโรคเบาหวาน มีปัญหาเกี่ยวกับระบบส่วนกลางเช่นมีเนื้องอกในสมองหรือสมองได้รับบาดเจ็บเป็นต้น รวมสาเหตุที่ทำให้คุณมีอาการสะอึกนอกจากโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากโรคหลอดเลือดสมองแล้วก็ยังมีสาเหตุอีกมากมายที่ทำให้เรามีอาการสะอึกไม่ว่าจะเป็นการดื่มเครื่องดื่มรวดเร็วมากจนเกินไป การมีปัญหาเกี่ยวกับภาวะอารมณ์อย่างเช่นหวาดกลัวหรือตึงเครียด มีการกลืนอากาศเข้าไปอย่างเช่นการรับประทานอาหารหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง อากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหันอย่างเช่นการลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ รับประทานอาหารที่ร้อนแล้วดื่มเครื่องดื่มเย็นตามในทันที การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมไปถึงการสูบบุหรี่ #การดูแลตัวเอง #ทริค #สะอึก
<strong>ไหลตาย</strong> วิธีการจากโลกในนี้ไปอย่างสงบสุขที่สุด

มนุษย์ทุกคนเมื่อถือกำเนิดขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราจะดำรงอยู่ระดับสูญไป ไม่วันใดวันหนึ่งเราก็ต้องตายจากโลกใบนี้ไปอย่างแน่นอน ดังนั้นสิ่งที่คนส่วนใหญ่กลัวไม่ใช่การจากโลกใบนี้ไปแต่เป็นสาเหตุการตายที่ทำให้ต้องเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานต่างหาก ดังนั้นหลายคนจึงหวังว่าเมื่อหมดอายุขัยเป็นที่เรียบร้อยแล้วตนเองนั้นจะนอนหลับและเสียชีวิตไปเลยหรือที่หลายคนเรียกกันว่าการไหลตายนั่นเอง เพราะมันเป็นวิธีการจากโลกใบนี้ไปอย่างสงบสุขที่สุด ไม่รู้สึกเจ็บปวด เหมือนนอนหลับไปธรรมดา เราจึงจะพาทุกคนมาดูกันว่าความจริงแล้วอาการดังกล่าวคืออะไรและจะมีวิธีป้องกันหรือไม่ ทำความรู้จักกับการไหลตาย การตายที่มาพร้อมกับการนอนหลับ บนโลกใบนี้มีสาเหตุการตายอยู่เต็มไปหมด แต่เชื่อว่าหลายคนคงอยากจะไหลตายเนื่องจากมันเป็นวิธีการจากโลกใบนี้ไปอย่างสงบสุขและไม่เป็นทุกข์มากที่สุด เหมือนกับว่านอนหลับไปเลยแล้วไม่ฟื้นตื่นกลับคืนมาอีกครั้ง อาการดังกล่าวนั้นมีสาเหตุจากการที่หัวใจเต้นผิดจังหวะกะทันหัน ดังนั้นจึงทำให้เสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะนั้นมาจากลิ่มเลือดเข้าไปอุดตันในบริเวณหลอดเลือดกระทันหัน ทำให้มีภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน หรืออาจจะเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจซึ่งสามารถพบได้ตั้งแต่กำเนิดหรือเป็นโรคสืบทอดจากพันธุกรรมของคนในครอบครัว คนส่วนใหญ่มักจะพบผู้ที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าวหลังจากที่เสียชีวิตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะอาการที่เกิดขึ้นจะเหมือนกับนอนหลับไปเฉยๆ แล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีก สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสจะเกิดภาวะดังกล่าวได้นั้นความจริงแล้วก็เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับคนที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปจนถึง 50 ปี สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ที่มีประวัติหัวใจเต้นระริกโดยไม่มีการบีบตัว ทำให้ภายในหลอดเลือดไม่มีการไหลเวียน เมื่อออกซิเจนไม่สามารถถูกลำเลียงผ่านเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย หรืออาจจะมีภาวะกระแสไฟฟ้าหัวใจผิดปกติก็จะทำให้ถึงแก่ชีวิตขึ้นมา ผู้ที่สามารถรอดชีวิตจากภาวะเหล่านี้ได้ด้วยการปั๊มหัวใจก็ยังคงมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นซ้ำอีกเช่นเดียวกัน สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอาการดังกล่าวนั้นมีมากมายไม่ว่าจะเป็นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การใช้สารเสพติด การใช้ยานอนหลับ การมีไข้สูงแล้วไม่รีบรักษา รวมไปถึงการรับประทานอาหารที่มีแป้งมากเกินไปและอาหารรสเค็ม ป้องกันอย่างไรหากไม่อยากจากโลกใบนี้ไปด้วยการไหลตาย แน่นอนว่าการไหลตายนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีการจากโลกใบนี้ไปอย่างสะดวกและรวดเร็วมากที่สุด ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมาน แต่หากไม่ถึงเวลาก็คงไม่มีใครอยากจะจากโลกใบนี้ไปไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรทั้งนั้น และหากคุณไม่อยากให้เกิดอาการดังกล่าวขึ้นก็ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่ปกติ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากมีอาการเจ็บป่วยเป็นไข้ควรรักษาโดยเร็ว หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงให้ตรวจเช็คสุขภาพรวมไปถึงตรวจสอบคลื่นไฟฟ้าหัวใจอยู่เป็นประจำ หรือหากเป็นผู้มีความเสี่ยงสูงแพทย์อาจจะวินิจฉัยให้ฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจเอาไว้ในตัวเลยก็ได้เช่นเดียวกัน #สุขภาพ #ความรู้ #ไหลตาย
<strong>REM SLEEP</strong> ตัวการที่ทำให้คุณมีปัญหานอนหลับไม่สนิท

การนอนหลับพักผ่อนนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากและยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไหร่เราก็ยิ่งเห็นถึงความสำคัญในการพักผ่อนมากขึ้นเท่านั้น เพราะร่างกายของเราที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เราไม่สามารถใช้งานมันได้อย่างหนักหน่วงโดยที่ไม่พักได้เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว แต่เพราะยิ่งโตขึ้นทำให้เรื่องปวดหัวก็ยิ่งมีมากมายกลายมาเป็นหนึ่งในปัญหาที่ทำให้เรานอนไม่หลับหนักกว่าเดิมไปอีก แต่ความจริงแล้วมีอีกหนึ่งตัวกันเช่นเดียวกันที่ทำให้เรานอนหลับไม่สนิทหรือสำหรับบางคนแล้วก็อาจจะทำให้ถึงขั้นนอนไม่หลับกันเลยทีเดียวนั่นก็คือ REM SLEEP ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้นั่นเอง มันคืออะไรและจะมีวิธีการใดบ้างที่ทำให้เราสามารถหลับได้อย่างสนิทตลอดทั้งคืนไปดูกัน ทำความรู้จักกับ REM SLEEP สาเหตุที่ทำให้คุณนอนหลับไม่สนิท หากคุณประสบปัญหานอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ เมื่อถึงเวลานอนหัวถึงหมอนแล้วเรากลับไม่สามารถข่มตานอนได้นั้นเกิดจากหลากหลายสาเหตุและปัญหา อันดับแรกเราต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่าการนอนในแต่ละคืนนั้นจะถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 2 ช่วงประกอบไปด้วย NON – REM SLEEP เป็นช่วงเวลาที่เราผล่อยหลับไปไปจนถึงก่อนช่วงที่เราจะหลับลึก โดยจะถูกแบ่งออกเป็นช่วงตั้งแต่ 5 นาทีไปจนถึง 1 ชั่วโมง 5 นาทีแรกถึง 15 นาทีร่างกายนั้นจะปรับตัวจากโหมดที่ตื่นนอนเป็นโหมดนอนหลับแทน ในช่วงนี้เราอาจจะเริ่มไม่รู้ตัวแล้วแต่ยังไม่ได้หลับลึก สามารถถูกปลุกตื่นได้อย่างง่ายดายด้วยเสียงหรือแสงที่รบกวน หลังจากนั้นในนาทีที่ 16 ถึงนาทีที่ 30 ร่างกายก็จะเข้าสู่การหลับตื้น ชีพจรของเราจะเต้นช้าลงและอวัยวะบางส่วนภายในร่างกายของเราก็จะมีการหยุดทำงาน 31 นาทีเป็นต้นไปจนถึง 1 ชั่วโมงร่างกายของเราก็จะเข้าสู่ช่วงการหลับลึก เราจะไม่รับรู้แล้วว่าเหตุการณ์รอบตัวมีอะไรเกิดขึ้นบ้างและค่อนข้างตื่นได้ยาก ส่วนช่วงที่ 2 นั้นก็คือ REM SLEEP เป็นช่วงเวลาที่กล้ามเนื้อในร่างกายของเราเริ่มมีการหยุดทำงานยกเว้นเพียงแค่กล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อกระบังลม และกล้ามเนื้อตา แต่สมองของเราที่ไม่ใช่กล้ามเนื้อจะยังคงทำงานอยู่เหมือนกับตอนที่เรายังตื่น เป็นช่วงเวลาที่เรากำลังตกอยู่ในความฝันนั่นเอง […]
<strong>อาการเมาค้าง</strong> ปัญหาที่คุณต้องเจอหากเมื่อคืนดื่มหนัก

เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่มีบางโอกาสเช่นเดียวกันที่เรานั้นต้องดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อสังสรรค์กับกับคนรอบตัว การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเป็นหนึ่งในวิธีการที่ช่วยให้ผู้คนสามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตามปัญหาที่ตามมาหลังจากดื่มหนักก็คือเช้ารุ่งขึ้นเราจะมีอาการที่เรียกว่าอาการเมาค้างนั่นเอง อาการดังกล่าวเป็นอย่างไรและเราสามารถแก้อย่างไรได้บ้าง เราจะพาทุกคนไปดูกัน ทำความรู้จักกับอาการเมาค้าง อาการที่มักเกิดขึ้นหลังดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาการเมาค้างนั้นเป็นอาการที่มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่เราดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปเป็นจำนวนมาก เมื่อร่างกายได้รับแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมากก็จะเกิดการชะลอตัวในการดูดซึมแร่ธาตุและวิตามิน ร่างกายจะมีการขับของเสียออกมาในลักษณะของปัสสาวะซึ่งเต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญอย่างเช่นโพแทสเซียม วิตามินบี หรือแมกนีเซียม ดังนั้นร่างกายจึงเกิดการคั่งของสารแอลดีไฮด์ที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดให้ลดน้อยลงไป ไม่เพียงเท่านั้นยังเข้าไปรบกวนการทำงานของสารสื่อประสาทอย่างเมลาโทนินที่ช่วยให้เรานอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มอิ่มอีกด้วย เมื่อปริมาณแอลกอฮอล์ลดลงในระดับหนึ่งจึงทำให้เรารู้สึกปวดศีรษะเป็นอย่างมาก อาการที่พบได้บ่อยหลังจากที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาเป็นจำนวนมากในเช้าวันรุ่งขึ้นคือจะรู้สึกกระหายน้ำ เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการดีไฮเดรต เซลล์ในร่างกายขาดน้ำเราจึงรู้สึกหิวน้ำเป็นอย่างมาก มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หมดแรง บางคนอาจรุนแรงถึงขั้นใจสั่นกันเลยทีเดียว ดังนั้นหากกังวลว่าจะเกิดอาการดังกล่าวขอแนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอดีก็จะช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้ ไม่เพียงเท่านั้นยังช่วยให้เรามีสติสามารถจัดการกับสิ่งรอบข้าง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดเรื่องร้ายๆ ตามมาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย แก้อาการเมาค้างอย่างไรให้อยู่หมัด #ความรู้โรค #การดูแลตัวเอง #เมาค้าง
<strong>PM 2.5</strong> ฝุ่นขนาดจิ๋วที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณอย่างร้ายแรง

ฝุ่นเป็นสิ่งที่สามารถพบเจอได้ทั่วไปไม่เว้นแม้กระทั่งในบ้านของเราเองก็ตาม เพียงแค่เรากวาดพื้นก็จะเห็นเศษฝุ่นมากมายกองอยู่เต็มไปหมด แต่ฝุ่นเหล่านี้ก็ยังไม่อันตรายเทียบเท่ากับ PM 2.5 ที่ในตอนนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตอยู่แต่อย่างใด ฝุ่นขนาดเล็กเหล่านี้มีอนุภาคในการทำลายล้างสุขภาพของเราอย่างน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว เพราะด้วยความที่มันมีขนาดเล็กกว่าแกนกลางในเส้นผมก็ 20 เท่าทำให้เราสามารถสูดเอาละอองเข้าปอดได้อย่างง่ายดาย แต่พวกมันคืออะไรและมาจากไหน เราจะพาทุกคนไปดูกัน ทำความรู้จักกับ PM 2.5 ฝุ่นขนาดจิ๋วที่มักจะมาในช่วงฤดูร้อน ในช่วงเวลานี้กรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่นั่นก็คือฝุ่น PM 2.5 แพร่ระบาดไปทั่วจนเมื่อถ่ายรูปออกมาเราจะสามารถมองเห็นฝุ่นขนาดจิ๋วเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน มันเกิดจากการที่สภาพอากาศได้รับผลกระทบจากมลภาวะทางอากาศไม่ว่าจะเป็นการเผาขยะ การเผาป่า การเผาในพื้นที่โล่ง โรงงานอุตสาหกรรมที่เพิ่มมากขึ้น จำนวนรถยนต์บนท้องถนนที่เพิ่มมากขึ้น หรือแม้แต่การใช้เตาถ่านในการประกอบอาหารเองก็ก่อให้เกิดฝุ่นละอองเหล่านี้ด้วยเช่นเดียวกัน ยิ่งสภาพอากาศในปีไหนที่ค่อนข้างนิ่งจะทำให้ฝุ่นอยู่ในที่แคบและไม่มีการระบายไหลเวียนไปยังที่อื่น ค่าฝุ่นจึงเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วและอยู่กับที่นานมากขึ้นกว่าเดิม อันตรายจากฝุ่นให้มีขนาดเล็กมากกว่า 2.5 ไมครอนนั้นมีมากมายเพราะเราสามารถสูตรเอาฝุ่นเหล่านี้เข้าสู่หลอดลมและปอดได้อย่างง่ายดายกว่าฝุ่นที่มีขนาดใหญ่ สำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืดก็จะมีปัญหาทางสุขภาพมากกว่าผู้อื่น สำหรับคนธรรมดาทั่วไปก็อาจจะมีอาการจมูกอักเสบ สามารถพัฒนาเป็นโรคถุงลมโป่งพองได้แม้ว่าจะไม่สูบบุหรี่ก็ตาม มีโอกาสจะเป็นหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง เป็นโรคมะเร็งปอด กล้ามเนื้อหัวใจขาด และโรคเส้นเลือดหัวใจ แต่อย่างไรก็ตามอันตรายจากการสูดเอาละอองฝุ่นเหล่านี้เข้าสู่ภายในร่างกายก็ขึ้นอยู่กับปริมาณและความแข็งแรงของแต่ละคนเช่นเดียวกัน รวมวิธีการป้องกันอย่างไรให้ปลอดภัยจากฝุ่น PM 2.5 ด้วยความที่ฝุ่น PM 2.5 นั้นมีขนาดเล็กและทำให้เราสามารถสูดดมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเราจึงควรป้องกันก่อนที่มันจะกลายมาเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเจ็บป่วยในภายหลังไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงออกนอกบ้าน การสวมหน้ากากอนามัย N95 ที่สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ หากอยู่ภายในบ้านก็ให้ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท ทำการอุดรรู้รั่วตามช่องด้วยผ้าหรือจะใช้ผ้าชุบน้ำก็ได้เช่นเดียวกัน หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกบ้านอย่างเช่นการทำงานหนักหรือการออกกำลังกาย ในกลุ่มเสี่ยงต้องดูแลรักษาสุขภาพให้ดี […]
<strong>อหิวาตกโรค</strong> อดีตโรคระบาดที่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงอันตราย

ในยุคสมัยหนึ่งประเทศไทยของเรานั้นเคยเผชิญหน้ากับโรคระบาดจนทำให้ไม่ว่าไปที่ไหนก็เต็มไปด้วยร่างของผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เต็มไปหมด นั่นก็คือโรคห่านั่นเอง หรือที่เรารู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งอย่างเป็นทางการว่าอหิวาตกโรค โรคดังกล่าวนั้นได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายไม่เว้นแม้กระทั่งในประเทศไทยของเราเองก็ตาม ถึงแม้ว่ามันจะเคยเป็นโรคระบาดในอดีตและตอนนี้ดูเหมือนจะไม่น่ากลัวอีกแล้ว แต่ความจริงแล้วมันยังคงอันตรายและเราเองก็ยังต้องเฝ้าระวังโรคดังกล่าวอยู่เช่นเดียวกัน เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับโลกนี้ให้มากขึ้นกัน ทำความรู้จักกับอหิวาตกโรค อดีตโรคระบาดที่ทำให้คนเสียชีวิตทั่วทั้งโลก ถ้าในปี 2020 มีเชื้อไวรัสโควิด 19 แพร่ระบาด ย้อนกลับไปเมื่อ 200 ปีที่แล้วในช่วงปี 1820 ก็มีโรคระบาดอีกโรคหนึ่งที่ทำให้ผู้คนต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกันนั่นก็คืออหิวาตกโรคหรือโรคห่าในประเทศไทยนั่นเอง โรคดังกล่าวนั้นเป็นโรคระบาดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายผ่านทางการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย มักพบในอาหารที่ไม่ถูกสุขอนามัยหรืออยู่ในแหล่งที่ไม่สะอาด สาเหตุที่ทำให้ในสมัยก่อนมีผู้คนติดโรคดังกล่าวมากกว่าในปัจจุบันเพราะคุณภาพชีวิตรวมไปถึงอาหารในยุคสมัยนี้มีสุขอนามัยที่ดีขึ้นกว่าเดิม มีความปลอดภัยและความสะอาด เรามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลความสะอาดมากขึ้น ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีทางการแพทย์ก็ดีขึ้นด้วยทำให้โรคดังกล่าวพบได้น้อยลงอย่างสิ้นเชิง โดยอาหารที่เสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคดังกล่าวนั้นจะมีตั้งแต่น้ำรวมไปถึงอาหารที่ไม่สะอาด อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ อาหารดิบ อาหารที่มีแมลงวันตอม รวมไปถึงอาหารกระป๋องที่หมดอายุแล้ว อาการของโรคดังกล่าวนั้นจะเริ่มต้นหลังจากที่เรารับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียเข้าไปภายในร่างกาย หลังจากนั้นมันก็จะผ่านไปยังกระบวนการย่อยอาหารในลำไส้และก่อให้เกิดพิษทำปฏิกิริยาบนเยื่อบุผนังลำไส้เล็ก ทำให้ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสียท้องร่วงรุนแรง เวลาถ่ายอุจจาระออกมานั้นจะมีลักษณะเป็นน้ำซาวข้าวที่มีกลิ่นเหม็นคาวและมีเมือก หากท้องร่วงเป็นอย่างมากก็จะทำให้ร่างกายสูญเสียทั้งเกลือแร่และน้ำอย่างรวดเร็ว หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันการณ์ก็อาจจะทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย ป้องกันตัวเองอย่างไรให้ปลอดภัยจากโรคอหิวาตกโรค ความจริงแล้วหาคนอยากปลอดภัยจากอหิวาตกโรคในยุคปัจจุบันนั้นถือว่าง่ายกว่ายุคก่อนเป็นอย่างมาก เพียงแค่เราเลือกรับประทานน้ำและอาหารที่มีสุขอนามัยถูกต้องปลอดภัย ผลิตมาจากแหล่งที่สะอาด เป็นอาหารที่ปรุงสุกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเป็นอาหารที่ยังไม่หมดอายุ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้เราปลอดภัยจากโรคห่าที่คร่าชีวิตผู้คนในอดีตไปมากมาย และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเมื่อมีอาการเจ็บป่วยท้องร่วงท้องเสียอย่างหนักควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป #อหิวาตกโรค #การดูแล #สุขภาพ
<strong>อาการคัน</strong>หลังแผลใกล้หายเกิดจากอะไรไปดูกัน

อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เราไม่คาดฝันว่ามันจะเกิดขึ้น และส่วนใหญ่มันก็มักจะนำพามาซึ่งบาดแผลแทบจะทุกครั้งไป เวลาที่เราเป็นแผลร่างกายของเราจะมีกระบวนการรักษาตัวเองอยู่แล้ว จากแผลสดกลายเป็นแผลแห้งที่ตกสะเก็ด หลังจากนั้นสะเก็ดก็จะค่อยๆ หลุดร่วงออกไปเผยผิวใหม่ของเราออกมา แต่เคยสังเกตหรือไม่ว่าเวลาที่สะเก็ดกำลังจะหลุดหมดซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เรากำลังจะหายดี มันมักจะมีอาการคันตามมาอยู่เสมอ เพราะเหตุใดเราจึงรู้สึกคันเวลาแผลใกล้หายไปดูเหตุผลกันเลย เปิดสาเหตุที่ทำให้เรามีอาการคันหลังแผลใกล้หายแล้ว การที่เรามีอาการหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลจนใกล้หายเกิดจากขั้นตอนกระบวนการสมานแผลของร่างกายเรา ขั้นตอนแรกจะเป็นการห้ามเลือด เส้นเลือดจะมีการบีบเล็กลงทำให้เลือดไหลช้ามากขึ้นกว่าเดิม เกร็ดเลือดจะเข้าไปเกาะกลุ่มกลายเป็นลิ่มเลือด หลังจากนั้นก็จะแข็งตัวกลายเป็นเส้นใย เกล็ดเลือดของเราจะทำการสร้างตาข่ายเส้นใยเพื่อดับเซลล์เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดให้กลายเป็นลิ่มเลือดขึ้นมา หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนการอักเสบ จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ร่างกายของเราทำความสะอาดแผล สิ่งสกปรกจะถูกกำจัดออกมาเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ หลังจากนั้นร่างกายของเราก็จะทำการสร้างผิวหนังและเส้นเลือดขึ้นมาใหม่ และสุดท้ายก็คือขั้นตอนการฟื้นฟูและการปรับตัวโดยซ่อมแซมเซลล์ประสาทและเซลล์ที่ถูกทำลาย ส่วนที่เรารู้สึกคันเวลาแผลใกล้หายนั้นเกิดจากสาเหตุมากมาย ส่วนหนึ่งคือในสะเก็ดแผลของเรานั้นจะมีฮีสตามีน ทำให้เรารู้สึกระคายเคืองรอบบาดแผล แพทย์หลายคนลงความเห็นว่ามันเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการจัดการกับสะเก็ดแผลที่ร่างกายไม่ต้องการอีกต่อไป เพราะเมื่อเกิดอาการคันเราก็จะตอบสนองด้วยการเกา ซึ่งจะทำให้สะเก็ดแผลหลุดลอกออกมา แต่บางครั้งมันก็เกิดขึ้นก่อนที่แผลจะสมานดีข้อคิดเห็นดังกล่าวจึงตกไป และยังมีอีกหนึ่งความเชื่อว่าเส้นประสาทที่ถูกทำลายนั้นหลังจากร่างกายเริ่มเยียวยาตัวเองก็จะทำให้เส้นประสาทของเรารู้สึกไวขึ้นกว่าเดิม หลังแผลหายเราก็จะได้รับสัญญาณผิดประเภทว่าเป็นความรู้สึกคันนั้นเอง บรรเทาอาการคันหลังแผลใกล้หายอย่างไรให้ปลอดภัย อาการคันหลังแผลใกล้หายเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและมักจะเกิดขึ้นเป็นปกติอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามหากเรารู้สึกคันแล้วเกาก่อนที่แผลจะสมานตัวดีก็จะทำให้เกิดปัญหาตามมาเช่นเดียวกัน ดังนั้นเราจึงแนะนำให้บรรเทาอาการด้วยการทาครีมฆ่าเชื้อก็จะช่วยให้แผลหายเร็วมากขึ้นกว่าเดิมและยังทำให้สะเก็ดมีขนาดเล็กลงอีกด้วย ทำให้รู้สึกคันน้อยลง การปิดแผลก็จะช่วยให้ป้องกันการติดเชื้อและแผลสะอาดได้เป็นอย่างดี หรือจะใช้น้ำมันวิตามินอีในการบรรเทาอาการหรือครีมบรรเทาอาการก็ได้เช่นเดียวกัน #สุขภาพ #ความรู้ #อาการคัน
<strong>อาหารคลีน</strong> ตัวช่วยลดน้ำหนักที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของคุณ

ในปัจจุบันนี้ผู้คนหันมาให้ความสนใจในการดูแลสุขภาพร่างกายกันมากขึ้นกว่าเดิม เราจะเห็นคนกำลังอยู่ในระหว่างการลดน้ำหนักเต็มไปหมดในสังคม และเครื่องมือที่ถูกใช้ในการลดน้ำหนักอยู่เป็นประจำนั้นก็คืออาหารคลีนนั่นเอง ความจริงแล้วอาหารประเภทนี้ไม่ใช่อาหารที่แย่หรือส่งผลเสียต่อสุขภาพถึงขนาดนั้นแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าการรับประทานอาหารแบบที่ไม่มีส่วนผสมของไขมันหรือโซเดียมเอาเสียเลยในระยะยาวก็จะไม่ดีต่อสุขภาพของเราเช่นเดียวกัน เราจึงจะพาทุกคนไปดูกันว่าวิธีการรับประทานอาหารเพื่อลดน้ำหนักแบบใดจะดีต่อสุขภาพและช่วยลดน้ำหนักได้จริงบ้าง เปิดเทคนิคการรับประทานอาหารคลีนให้ถูกต้อง รับประทานไขมันดี ตัวช่วยที่จะทำให้อาหารคลีนของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม การรับประทานอาหารคลีนไม่ได้หมายความว่าการงดการรับประทานไขมันแต่อย่างใด ร่างกายของเราจะได้รับผลเสียหากเราไม่รับประทานไขมันเลย ไม่ว่าจะเป็นดูโทรมหรือหนังเหี่ยวเป็นต้น ดังนั้นเราจึงควรรับประทานไขมันดีอย่างเช่นไขมันที่ได้จากอะโวคาโด ถั่ว หรือน้ำมันมะกอก เพราะน้ำมันเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินไปใช้งานได้ดีขึ้นกว่าเดิม #สุขภาพ #ความรู้ #อาหารคลีน
<strong>อาหารเย็น</strong> สิ่งที่ดีต่อสุขภาพแต่หลายคนกลับหลีกเลี่ยง

เวลาลดน้ำหนักสิ่งที่หลายคนมักเลือกทำก็คือกันไม่รับประทานอาหารเย็นนั่นเอง มันเป็นวิธีการที่ทรมานแต่ก็ทำได้ง่ายที่สุดแถมบางคนยังได้ผลจริงอีกด้วย แต่ความจริงแล้วมื้อเย็นนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเพียงแต่คุณต้องรับประทานให้ไวมากขึ้นกว่าเดิม เราจึงจะพาทุกคนมาดูกันว่าการรับประทานมื้อเย็นให้ไวขึ้นจะส่งผลดีต่อร่างกายของคุณอย่างไรบ้าง รวมข้อดีในการรับประทานอาหารเย็นให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ข้อแนะนำสำหรับการรับประทานอาหารเย็นให้ได้ประโยชน์และดีต่อสุขภาพ หากคุณรับประทานอาหารเย็นไวขึ้นแต่ตอนดึกก็รู้สึกหิวขึ้นมาอยู่ดีเราขอแนะนำว่าไม่ควรอดอาหารแต่อย่างใด เพราะแทนที่มันจะช่วยให้คุณผอมมากขึ้นกว่าเดิมหรือสุขภาพดีแต่มันกลับไปกระตุ้นให้เกิดอาการอื่นที่ส่งผลต่อสุขภาพตามมา หากคุณรู้สึกหิวในช่วงดึกให้กินอาหารอีกครั้งหรือจะลองใช้วิธีการกระจายมื้ออาหารเป็นมื้อเล็ก 5-6 มื้อก็ได้เช่นเดียวกัน ที่สำคัญคือเราต้องรับประทานอาหารในช่วงครึ่งแรกของวันให้เพียงพอก็จะช่วยลดอาการหิวดึกได้เป็นอย่างดี #สุขภาพ #ความรู้ #อาหารเย็น