การ<strong>ผายลม</strong> ปฏิกิริยาทางร่างกายที่เป็นมากกว่าการพ่นลมเหม็นออกมา

มีหลายปฏิกิริยาทางร่างกายเลยทีเดียวที่สามารถสร้างความอับอายให้กับเจ้าของร่างกายอย่างเราได้เป็นอย่างดี และหนึ่งในนั้นก็คือการผายลมนั่นเอง มันเป็นการที่ร่างกายของเราขับแก๊สของเสียออกมามันจึงมีกลิ่นที่ค่อนข้างเหม็นแถมบางครั้งยังมีเสียงดังอีกด้วย แต่ความเป็นจริงแล้วการตดนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่การปลดปล่อยแก๊สออกมาเพียงแค่อย่างเดียวแต่อย่างใด มันยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เราไม่รู้และมันจะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย รวมสิ่งที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับการผายลม การผายลมนั้นเป็นการที่ร่างกายของเราขับแก๊สของเสียออกมาซึ่งใน 1 วันนั้นเราสามารถตดออกมาได้สูงสุดถึง 14 ครั้งต่อวันกันเลยทีเดียว และเมื่อไหร่ที่มีอาการดังกล่าวขอให้เรารู้สึกดีใจเอาไว้ได้เลยเพราะมันเป็นสัญญาณที่กำลังบอกว่าเรานั้นมีสุขภาพดี ไม่มีปัญหาในระบบการย่อยหรือการขับถ่ายแต่อย่างใด ดังนั้นหากคุณพบว่าตนเองนั้นไม่เคยตดเลยในแต่ละวันควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุต่อไป ส่วนประกอบที่อยู่ภายในลมที่ออกมานั้นจะเป็นกรดกำมะถันซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งกลิ่นเหม็น ความเร็วของลมที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างกายของเรานั้นมีแรงดันที่สูงเป็นอย่างมาก แรงลมวัดแล้วสามารถเร็วได้ถึง 10 ฟุตต่อวินาทีหรือ 11 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกันเลยทีเดียว สำหรับใครที่ชื่นชอบการรับประทานถั่ว เคี้ยวหมากฝรั่งอยู่เป็นประจำ หรือชื่นชอบการดื่มน้ำอัดลม คนกลุ่มนี้จะมีโอกาสในการตดมากกว่าคนอื่นเนื่องจากการเคี้ยวหมากฝรั่งจะทำให้ลมเข้าไปทางปากของเรา เช่นเดียวกับน้ำอัดลมและถั่วที่เต็มไปด้วยแก๊ส บนโลกใบนี้มนุษย์ไม่ใช่สัตว์ที่ตดบ่อยที่สุดแต่อย่างใดแต่เป็นปลวกต่างหาก นอกจากนี้ยังรวมไปถึงสัตว์ขนาดใหญ่อย่างเช่นช้าง อูฐ ม้าลาย วัว แกะ ไปจนถึงสุนัขเลยทีเดียว การที่เสียงของปฏิกิริยาดังกล่าวในแต่ละคนไม่เหมือนกันนั้นเกิดจากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นความกระชับของกล้ามเนื้อบริเวณก้น ปริมาณ แรงดันภายในร่างกายของแต่ละคนส่งผลให้บางคนก็มีเสียงและบางคนก็ไม่มีเสียงเลย จากสถิติแล้วผู้ชายนั้นจะตดบ่อยกว่าผู้หญิงเนื่องจากผู้ชายจะปลดปล่อยออกมาเลยไม่ค่อยกั้นไว้แต่อย่างใด ในขณะที่ผู้หญิงนั้นจะมีสถิติที่กลิ่นแรงกว่า หากเราอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นจะต้องกลั้นเอาไว้อย่างเช่นการอยู่ในลิฟท์หรือในห้องประชุม ความจริงแล้วการกลั้นตดนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายแต่ก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อร่างกายเช่นเดียวกันเพราะจะเกิดแรงดันในช่องท้องหรืออาจทำให้เป็นตะคริว มีการสะสมของแก๊สในท้องจนทำให้เรารู้สึกปวดท้องได้แบบไม่จำเป็น ทำอย่างไรหากไม่อยากผายลมบ่อย หากคุณไม่อยากผายลมบ่อยหรือเหนื่อยกับการกลั้นตดในที่สาธารณะเต็มทนก็มีวิธีการเช่นเดียวกัน วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการรับประทานอาหารให้ช้าลง เคี้ยวให้ละเอียดก่อนที่จะกลืนเนื่องจากจะทำให้กระเพาะอาหารของเราสามารถทำงานได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม การออกกำลังกายก็สามารถช่วยลดแก๊สที่อยู่ในกระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงอาหารที่เต็มไปด้วยแก๊สอย่างเช่นน้ำอัดลมหรือถั่วก็จะสามารถช่วยได้เช่นเดียวกัน #สุขภาพ #ทริค #การผายลม
<strong>PM 2.5</strong> ฝุ่นขนาดจิ๋วที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณอย่างร้ายแรง

ฝุ่นเป็นสิ่งที่สามารถพบเจอได้ทั่วไปไม่เว้นแม้กระทั่งในบ้านของเราเองก็ตาม เพียงแค่เรากวาดพื้นก็จะเห็นเศษฝุ่นมากมายกองอยู่เต็มไปหมด แต่ฝุ่นเหล่านี้ก็ยังไม่อันตรายเทียบเท่ากับ PM 2.5 ที่ในตอนนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตอยู่แต่อย่างใด ฝุ่นขนาดเล็กเหล่านี้มีอนุภาคในการทำลายล้างสุขภาพของเราอย่างน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว เพราะด้วยความที่มันมีขนาดเล็กกว่าแกนกลางในเส้นผมก็ 20 เท่าทำให้เราสามารถสูดเอาละอองเข้าปอดได้อย่างง่ายดาย แต่พวกมันคืออะไรและมาจากไหน เราจะพาทุกคนไปดูกัน ทำความรู้จักกับ PM 2.5 ฝุ่นขนาดจิ๋วที่มักจะมาในช่วงฤดูร้อน ในช่วงเวลานี้กรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่นั่นก็คือฝุ่น PM 2.5 แพร่ระบาดไปทั่วจนเมื่อถ่ายรูปออกมาเราจะสามารถมองเห็นฝุ่นขนาดจิ๋วเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน มันเกิดจากการที่สภาพอากาศได้รับผลกระทบจากมลภาวะทางอากาศไม่ว่าจะเป็นการเผาขยะ การเผาป่า การเผาในพื้นที่โล่ง โรงงานอุตสาหกรรมที่เพิ่มมากขึ้น จำนวนรถยนต์บนท้องถนนที่เพิ่มมากขึ้น หรือแม้แต่การใช้เตาถ่านในการประกอบอาหารเองก็ก่อให้เกิดฝุ่นละอองเหล่านี้ด้วยเช่นเดียวกัน ยิ่งสภาพอากาศในปีไหนที่ค่อนข้างนิ่งจะทำให้ฝุ่นอยู่ในที่แคบและไม่มีการระบายไหลเวียนไปยังที่อื่น ค่าฝุ่นจึงเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วและอยู่กับที่นานมากขึ้นกว่าเดิม อันตรายจากฝุ่นให้มีขนาดเล็กมากกว่า 2.5 ไมครอนนั้นมีมากมายเพราะเราสามารถสูตรเอาฝุ่นเหล่านี้เข้าสู่หลอดลมและปอดได้อย่างง่ายดายกว่าฝุ่นที่มีขนาดใหญ่ สำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืดก็จะมีปัญหาทางสุขภาพมากกว่าผู้อื่น สำหรับคนธรรมดาทั่วไปก็อาจจะมีอาการจมูกอักเสบ สามารถพัฒนาเป็นโรคถุงลมโป่งพองได้แม้ว่าจะไม่สูบบุหรี่ก็ตาม มีโอกาสจะเป็นหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง เป็นโรคมะเร็งปอด กล้ามเนื้อหัวใจขาด และโรคเส้นเลือดหัวใจ แต่อย่างไรก็ตามอันตรายจากการสูดเอาละอองฝุ่นเหล่านี้เข้าสู่ภายในร่างกายก็ขึ้นอยู่กับปริมาณและความแข็งแรงของแต่ละคนเช่นเดียวกัน รวมวิธีการป้องกันอย่างไรให้ปลอดภัยจากฝุ่น PM 2.5 ด้วยความที่ฝุ่น PM 2.5 นั้นมีขนาดเล็กและทำให้เราสามารถสูดดมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเราจึงควรป้องกันก่อนที่มันจะกลายมาเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเจ็บป่วยในภายหลังไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงออกนอกบ้าน การสวมหน้ากากอนามัย N95 ที่สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ หากอยู่ภายในบ้านก็ให้ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท ทำการอุดรรู้รั่วตามช่องด้วยผ้าหรือจะใช้ผ้าชุบน้ำก็ได้เช่นเดียวกัน หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกบ้านอย่างเช่นการทำงานหนักหรือการออกกำลังกาย ในกลุ่มเสี่ยงต้องดูแลรักษาสุขภาพให้ดี […]
<strong>อาหารคลีน</strong> ตัวช่วยลดน้ำหนักที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของคุณ

ในปัจจุบันนี้ผู้คนหันมาให้ความสนใจในการดูแลสุขภาพร่างกายกันมากขึ้นกว่าเดิม เราจะเห็นคนกำลังอยู่ในระหว่างการลดน้ำหนักเต็มไปหมดในสังคม และเครื่องมือที่ถูกใช้ในการลดน้ำหนักอยู่เป็นประจำนั้นก็คืออาหารคลีนนั่นเอง ความจริงแล้วอาหารประเภทนี้ไม่ใช่อาหารที่แย่หรือส่งผลเสียต่อสุขภาพถึงขนาดนั้นแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าการรับประทานอาหารแบบที่ไม่มีส่วนผสมของไขมันหรือโซเดียมเอาเสียเลยในระยะยาวก็จะไม่ดีต่อสุขภาพของเราเช่นเดียวกัน เราจึงจะพาทุกคนไปดูกันว่าวิธีการรับประทานอาหารเพื่อลดน้ำหนักแบบใดจะดีต่อสุขภาพและช่วยลดน้ำหนักได้จริงบ้าง เปิดเทคนิคการรับประทานอาหารคลีนให้ถูกต้อง รับประทานไขมันดี ตัวช่วยที่จะทำให้อาหารคลีนของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม การรับประทานอาหารคลีนไม่ได้หมายความว่าการงดการรับประทานไขมันแต่อย่างใด ร่างกายของเราจะได้รับผลเสียหากเราไม่รับประทานไขมันเลย ไม่ว่าจะเป็นดูโทรมหรือหนังเหี่ยวเป็นต้น ดังนั้นเราจึงควรรับประทานไขมันดีอย่างเช่นไขมันที่ได้จากอะโวคาโด ถั่ว หรือน้ำมันมะกอก เพราะน้ำมันเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินไปใช้งานได้ดีขึ้นกว่าเดิม #สุขภาพ #ความรู้ #อาหารคลีน
<strong>ขูดหินปูน</strong> สิ่งที่หลายคนรู้สึกกังวลเวลาไปเจอทันตแพทย์

ทันตแพทย์นั้นความจริงแล้วเป็นสาขาของการรักษาที่ไม่มีใครอยากจะเข้าไปสักเท่าไหร่หากไม่จำเป็น เพราะการรักษาโรคเกี่ยวกับช่องปากหรือแม้แต่การดูแลสุขภาพช่องปากให้ดีนั้นมักต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งการขูดหินปูนที่หลายคนตั้งคำถามว่าเพราะอะไรเวลาไปเจอหมอฟันทีไรก็ต้องขูดมันทุกที เราไม่ขูดได้หรือไม่ วันนี้เราจะให้คนไปหาคำตอบกัน ตอบคําถามคาใจ ทำไมต้องขูดหินปูนทุกครั้งเมื่อไปหาหมอฟัน ทุกครั้งที่ไปหาหมอฟันเชื่อว่าหมอฟันจะแนะนำให้ขูดหินปูนแทบทุกครั้ง ยิ่งหากคุณไม่ใช่คนที่ต้องไปหาทันตแพทย์อยู่เป็นประจำอย่างกลุ่มคนที่ดัดฟันด้วยแล้ว ไปหาทีไรก็ต้องขูดหินปูนกันทุกที และการขูดหินปูนนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีขั้นตอนการทำที่สยองขวัญเหมือนกันถอนฟันแต่มันก็ทำให้เรารู้สึกหวาดเสียวและบางครั้งมันก็ทำให้เรารู้สึกเจ็บได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่มันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพราะคราบหินปูนนั้นเกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียภายในปากของเราเข้าไปทำปฏิกิริยากับสารอาหารที่มีการตกค้างบริเวณซอกฟัน ทำให้เกิดฟิล์มเคลือบฟันขึ้นมาอีกชั้นและฝังแน่นจนกลายเป็นหินปูน สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าเราจะดูแลความสะอาดได้ดีแค่ไหนก็ตาม เพราะการกำจัดแบคทีเรียและเศษอาหารออกไปอย่างหมดจดในช่องปากของเรานั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก เพียงแต่คนที่ดูแลความสะอาดอยู่เสมอก็จะเกิดคราบหินปูนน้อยกว่าคนธรรมดา สำหรับคำถามที่ว่าเราไม่ขูดออกได้หรือไม่ก็ต้องตอบว่าได้ เพียงแต่ว่าหากเราปล่อยให้มีคราบหินปูนเกาะอยู่นานๆ ก็จะก่อให้เกิดปัญหาฟันผุรวมไปถึงโรคเหงือกอักเสบขึ้นมาได้ มันเป็นสาเหตุที่ทำให้สุขภาพช่องปากของเราแย่ลงในอนาคต ดังนั้นการขูดเอาไว้จึงเป็นการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีที่สุด ส่วนคำถามที่ว่าเราสามารถขูดออกเองได้หรือไม่ ในกรณีที่เราเห็นว่ามีหินปูนเกาะบนฟันของเราอย่างชัดเจนแล้วต้องการจะหาอะไรมาขูดออก ขอแนะนำว่าอย่าทำดีกว่าเพราะการขูดหินปูนออกจากฟันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งอุปกรณ์ที่ใช้ไม่เหมาะสมอาจจะทำให้ได้รับบาดเจ็บแทนมากกว่า ไปหาหมอฟันแล้วใช้เครื่องมือโดยเฉพาะจำกัดออกดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่อยากขูดหินปูนบ่อยป้องกันได้ด้วยการลดคราบหินปูน หากคุณไม่อยากขูดหินปูนบ่อยก็สามารถป้องกันได้ด้วยการลดคราบหินปูนเช่นเดียวกันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่ต้องขูดอีกเลยแต่อย่างใด วิธีการก็คือทำความสะอาดช่องปากอยู่เสมอด้วยการแปรงฟันและลิ้นอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน แต่ละครั้งต้องมากกว่า 30 วินาที และต้องดันแปรงสีฟันเข้าไปทำความสะอาดจนถึงซี่ด้านในสุด เลือกใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ มีสารไตรโคซานที่สามารถยับยั้งแบคทีเรียได้ จะใช้ไหมขัดฟันเพื่อกำจัดเศษอาหารเป็นตัวช่วยก็ได้เช่นเดียวกัน #สุขภาพ #ช่องปาก #ขูดหินปูน
รู้สึก<strong>เหนื่อยล้า</strong>ตลอดเวลา อาการที่คนในยุคปัจจุบันต้องเผชิญ

มีอยู่ยุคหนึ่งที่คำว่าหมดไฟหรือหมด PASSION ได้รับความนิยมในสังคมเป็นอย่างมากซึ่งอาการดังกล่าวไม่ได้เกิดมาจากความขี้เกียจแต่อย่างใด เราสามารถรู้สึกเหนื่อยล้าได้เมื่อมีความผิดปกติทางด้านร่างกายหรือจิตใจ หากคุณเป็นคนที่ประสบปัญหารู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ตลอดเวลา เราจะพาทุกคนมาดูถึงสาเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนั้นกันและหาวิธีการป้องกันแก้ไขไม่ให้เกิดอาการแบบนี้ต่อไปในอนาคตความสามารถทำอย่างไรได้บ้าง เรื่องสาเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ตลอดเวลา วิธีการแก้ไขอาการรู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลาให้ได้ผล หากคุณรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ตลอดเวลาและไม่อยากจะเป็นแบบนั้นขอให้เริ่มต้นด้วยการปรับพฤติกรรมการกินไม่ว่าจะเป็นการหันมารับประทานคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ขัดสี การรับประทานโปรตีนให้เพียงพอ จัดอาหารให้ได้รับสารอาหาร 5 หมู่อย่างเหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เปลี่ยนพฤติกรรมจากการนั่งหน้าจอมาเดินไปมาบ้าง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอด้วยการงดเครื่องดื่ม งดสูบบุหรี่ งดอาหารก่อนนอน 2 ชั่วโมง อย่าเล่นมือถือก่อนนอน นอนหลับให้เป็นเวลา จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม การจัดการกับความเครียดอย่างเช่นการวางแผน การทำกิจกรรมที่เราชอบ #ความรู้ #โรค #เหนื่อยล้า
กิน<strong>แอปเปิ้ล</strong>อย่าปอกเปลือก ให้ประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด

คนที่ชื่นชอบผลไม้อย่างแอปเปิ้ลนั้นจะมีอยู่ 2 ประเภทนั่นก็คือคนที่รับประทานทั้งเปลือกและคนที่ปลอกเปลือก ซึ่งคนที่ชื่นชอบรับประทานแบบปลอกเปลือกนั้นมีมากกว่า เนื่องจากมันให้สัมผัสที่นุ่มละมุนลิ้นและไม่มีอะไรที่รู้สึกหยาบ แข็ง เคี้ยวยากแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตามทราบหรือไม่ว่าความจริงแล้วผลไม้ที่สามารถรับประทานทั้งเปลือกได้ส่วนใหญ่แล้วคุณประโยชน์ก็มักจะอยู่ที่เปลือกทั้งสิ้น เราจึงจะพาทุกคนไปดูกันว่าเพราะเหตุใดเราจึงควรรับประทานทั้งเปลือกไปเลย รวมเหตุผลที่คุณควรรับประทานแอปเปิ้ลแบบไม่ปอกเปลือก รับประทานแอปเปิ้ลแบบไม่ปอกเปลือกอย่างไรให้ปลอดภัยจากสารเคมี การรับประทานแอปเปิ้ลแบบไม่ปอกเปลือกนั้นจะช่วยให้เราได้รับสารอาหารและประโยชน์จากผลไม้ไปแบบเต็มๆ แต่อย่างไรก็ตามหนึ่งในสาเหตุที่มักจะคนปอกเปลือกนั่นก็คือเปลือกนั้นเต็มไปด้วยสารเคมีมากมายไม่ว่าจะเป็นสารเคมีจากการทำการเกษตรหรือแม้แต่การรักษาความสดของผลไม้อย่างเช่นสารเคลือบเงาเป็นต้น ดังนั้นหากเราต้องการรับประทานให้ปลอดภัยสิ่งสำคัญก็คือต้องล้างทำความสะอาดให้ดี เลือกแบบที่ปลูกด้วยวิธีการออแกนิคแบบปลอดสารพิษก็จะช่วยให้เราปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิมเช่นเดียวกัน #สุขภาพ #ผลไม้ #แอปเปิ้ล
<strong>โอ้ย …เหงือกร่น เป็นแล้วรักษาหายไหม</strong>

เคยไหม? ที่เมื่อทานหรือดื่มอะไรที่เย็น หรือร้อนจัด และเกิดอาการจี๊ดจะต้องหยุดที่จะทานต่อไป จนทำให้รู้เสียอารมณ์กับอาหารหรือเครื่องดื่มมื้อนั้นไปทันที แต่อาการดังกล่าวนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า คุณอาจกำลังจะพบกับอาการเหงือกร่นแล้วนั่นเอง และอย่าคิดว่าอาการเหงือกร่นเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แล้วปล่อยผ่านเพราะอาจเกิดปัญหาภายในช่องปากในระยะยาวได้รวมถึงอาจทำให้เกิดกลิ่นปากได้อีกด้วย เราทำความรู้จักกับอาการเหงือกร่นกันเถอะ ต้นเหตุที่ทำให้เกิดเหงือกร่น การเลือกแปรงสีฟันที่มีขนแปรงที่แข็งเกินไป หรือไม่เหมาะกับสภาพเหงือกและฟันของตัวเอง ขนแปรงแข็งเกินไป ก็จะไปทิ่มเหงือกให้เกิดการบาดเจ็บได้ วิธีการแปรงฟันที่ผิดก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเหงือกร่นได้ ด้วยเพราะบางคนกลัวว่าฟันจะไม่สะอาดก็แปรงฟันด้วยความรุนแรง จนทำให้เหงือกเกิดการบาดเจ็บ เกิดแผล รวมถึงเกิดการอักเสบได้จนทำให้เกิดอาการเหงือกร่นและนอกจากนี้แล้ว การแปรงฟันที่รุนแรงยังจะทำให้คอฟันสึกได้อีกด้วย อาการของเหงือกที่เกิดการติดเชื้อแล้วอักเสบ บวม ถ้าหนักก็มีหนองได้ที่บริเวณเหงือก จนทำให้รู้สึกเจ็บปวดและเกิดความอ่อนแอจนพาเข้าสู่ภาวะเหงือกร่นขึ้นได้ ภาวะเหงือกร่นยังเกิดได้จากได้จากฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลง อีกด้วยอย่างในกลุ่มของคนวัยทองที่เป็นได้ทั้งชายและหญิง รวมถึงสตรีมีครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่มีการขึ้นลงของฮอร์โมนที่ต่างจากคนปกติ จึงเป็นผลต่อสุขภาพเหงือกเช่นเกิดการบวมได้และเกิดอาการอักเสบได้ โดยมากนั้นจะพบได้ในกลุ่มเพศชาย ด้วยสารเคมีที่อยู่ในบุหรี่นั้นมีส่วนที่ทำให้เกิดคราบพลัคได้ และค่อนข้างที่จะทำความสะอาดได้ยาก เมื่อปล่อยไว้นานก็เกิดเป็นคราบหินปูนที่ดันให้เหงือกเกิดการร่นได้ สำหรับคนที่จัดฟันจะต้องมีการติดอุปกรณ์จัดฟันที่เราเคยเห็นกันบ่อย ๆ แต่เพราะมีการรัดรั้งที่แน่นเกินไป และไม่เข้ากับรูปฟัน ก็จะทำให้เหงือกได้รับการบาดเจ็บ และเกิดการระบมได้ จนรุกรามถึงภาวะเหงือกร่นจนเห็นฟันเพิ่มขึ้น บางครั้งอาจรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว พฤติกรรมก็ยากที่จะแก้ เช่น การที่จิ้มฟัน หรือใช้ไหมขัดฟันที่ผิดวิธี การกัดฟัน หรือเคี้ยวฟันในตอนหลับ ก็มีผลกับเหงือกได้เช่นกัน อาการของเหงือกร่นเป็นอย่างไร สำหรับอาการเหงือกร่นนั้นบางครั้งก็อาจไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอาการเหงือกร่นแล้ว ซึ่งเมื่อทราบอีกทีก็มักจะมีอาการต่อไปนี่ร่วมด้วย รู้สึกเสียวฟัน รู้สึกเจ็บบริเวณเหงือกหลังการแปรงฟันมักมีเลือดออกลมหายใจไม่สดชื่น และมีกลิ่นเหม็นฟันเริ่มมีลักษณะที่เปลี่ยนไปดูยาวขึ้น […]
<strong>ไอเรื้อรังหลังหายโควิด แบบไหนควรไปหาหมอ</strong>

ถ้ามีอาการไอเรื้อรังหลังหายจากโควิด เชื่อว่าหลายคนคงเริ่มกังวลแล้วว่าอาการไอที่เป็นอยู่จะอันตรายไหม เกินความเป็นลองโควิด (Long Covid) ทั่ว ๆ ไปหรือเปล่า ซึ่งแบบนี้ก็ไม่ควรละเลยค่ะ เพราะหากมีความผิดปกติจริง ๆ อาจลุกลามไปไกลได้ ดังนั้นใครที่ไอเรื้อรังหลังหายป่วยโควิด มาเช็กดูว่าแบบไหนไม่ควรปล่อยไว้ ต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายสักทีหายโควิดแต่ยังไอ เป็นเพราะอะไรกันนะ แม้ว่าจะหายป่วยจากโควิด 19 แล้ว แต่บางคนยังอาจมีอาการไอเรื้อรังอยู่นี่ก็จัดเป็นหนึ่งในอาการลองโควิด (Long Covid) ที่พบได้บ่อยด้วย สาเหตุที่ยังไอก็เพราะเมื่อร่างกายได้รับการติดเชื้อในทางเดินระบบหายใจ ดังนั้นการไอจึงเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่พยายามจะกำจัดเชื้อออกมาให้ได้มากที่สุด หลังหายโควิดแล้วบางคนยังคงมีอาการไอต่อมาจากการอักเสบและการบวมของเนื้อเยื่อที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แม้ว่าในร่างกายเราจะไม่มีเชื้อโควิดแล้วก็ตาม โดยอาการไอเรื้อรังอาจจะเป็นได้ตั้งแต่ 1 สัปดาห์ หรืออาจนานถึง 180 วัน หลังหายจากโควิดเลยทีเดียว ไอเรื้อรัง บรรเทาอาการไออย่างไร หากอาการไอเรื้อรังเป็นผลพวงมาจากภาวะลองโควิด ร่างกายก็จะมีอาการไปจนกว่าร่างกายจะฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้เราก็พอมีแนวทางบรรเทาอาการไอได้อยู่บ้าง เช่น สำหรับคนที่มีอาการไอเรื้อรังหลังหายจากโควิด แล้วพบความผิดปกติดังต่อไปนี้ หากมีอาการไอเรื้อรังแล้วยังมีอาการอื่นร่วมด้วยนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะอันตรายอื่น ๆ ของร่างกายได้ เช่น โรคเกี่ยวกับปอด หรือโรคหัวใจ ดังนั้นอย่าชะล่าใจและปล่อยปละละเลยควรที่จะรีบไปเช็กสุขภาพกับแพทย์โดยเร็วเลยดีกว่า #การดูแลตัวเอง #รักสุขภาพ #ไอเรื้อรัง
เปิดวิธีการแก้อาการ<strong>เมาค้าง</strong>อย่างไรให้หายจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ตอนนี้ก็เข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ไทยอย่างสงกรานต์เป็นที่เรียบร้อยแล้วและเชื่อว่าหลายคนก็คงจะปาร์ตี้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันอย่างสนุกสุดเหวี่ยงอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่จะตามมาหลังจากช่วงเทศกาลจบลงก็คืออาการทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอย่างการเมาค้างนั่นเอง ความจริงแล้วอาการดังกล่าวมีวิธีการแก้แถมวิธีที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้ยังเป็นวิธีจากมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลกอย่างมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอีกด้วย สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีแก้แฮงค์ไปดูกันเลย เทคนิคแก้อาการเมาค้างจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อาการเมาค้างคืออะไร ทำไมจึงเกิดขึ้นหลังดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาการเมาค้างนั้นมักเกิดขึ้นกับผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักจนทำให้เกิดอาการหลังจากหยุดดื่มไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงในเช้าวันถัดไป อาการในแต่ละคนก็จะแตกต่างกันแต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะมีอาการเวียนหัว ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน คั่นเนื้อคั่นตัว หรือท้องเสีย บางคนอ่านความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ และมีเหงื่อออกตามร่างกาย และที่สำคัญแต่ละคนเวลาดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่แตกต่างกันอาการที่เกิดขึ้นก็จะแตกต่างกันอีกด้วย เป็นอาการที่อันตรายและเราอยากจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักมากกว่าจะมาแก้อาการแฮงค์ในภายหลังมากกว่า #สุขภาพ #การดูแล#แก้เมาค้าง
<strong>เครื่องดื่มแอลกอฮอล์</strong> ตัวอันตรายทำลายอวัยวะในร่างกายของเรา

เทศกาลสงกรานต์เป็นเทศกาลที่เราจะได้สนุกสนานและปาร์ตี้กันแบบสุดเหวี่ยง แน่นอนว่าเรื่องเหล้าเบียร์ก็จัดเต็มไม่น้อยเช่นเดียวกัน แต่ทราบหรือไม่ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเป็นตัวการอันตรายที่เข้าไปทำลายอวัยวะในร่างกายของเราอยู่หลายส่วนเลยทีเดียว สำหรับใครที่เป็นสายดื่มวันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่ามีอวัยวะส่วนไหนบ้างที่ถูกเหล้าเบียร์ทำลายได้เมื่อเราดื่มพวกมันเข้าไป เปิดรายชื่ออวัยวะที่จะถูกทำลายเมื่อดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สิ่งที่กระตุ้นความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ทำลายเฉพาะอวัยวะภายในร่างกายของเราเพียงแค่อย่างเดียวแต่มันยังเพิ่มความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคมะเร็งได้มากขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก ผู้ที่ติดสุราเรื้อรังนั้นมีความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคมะเร็งมากกว่าคนทั่วไปกว่า 10 เท่าเลยทีเดียว โดยมะเร็งที่พบได้บ่อยก็คือกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร ตับอ่อน และตับ เป็นโรคอันตรายที่ถึงจะรักษาให้หายขาดได้แต่ก็ต้องทรมานไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นหากเป็นไปได้เราก็อยากจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปเลยจะดีที่สุด หรือไม่จะใช้วิธีการค่อยๆ ลดปริมาณก็ได้เช่นเดียวกัน #ความรู้ #การดูแลตัวเอง #สุขภาพ