<strong>น้ำแร่</strong>ดีกว่าน้ำเปล่าอย่างไร ทำไมจึงราคาแพงกว่า 

น้ำแร่ดีกว่าน้ำเปล่าอย่างไร ทำไมจึงราคาแพงกว่า

เวลากระหายน้ำแล้วเดินไปซื้อน้ำขวดเราจะพบว่ามีทั้งน้ำเปล่าธรรมดาทั่วไปที่ราคาประหยัดกับน้ำแร่ที่มีราคาสูง ทั้งที่เป็นน้ำใส ๆ เหมือนกันแต่เพราะเหตุใดราคาจึงแตกต่างกัน นอกจากนี้บางยี่ห้อก็ยังมีรสชาติที่แตกต่างจากน้ำธรรมดาทั่วไปอีกด้วย การดื่มเข้าไปแล้วจะช่วยให้สุขภาพดีและได้ประโยชน์มากกว่าหรือไม่ วันนี้เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบกัน ทำความรู้จักกับน้ำแร่และข้อดีข้อเสียที่คุณจะได้รับจากการดื่ม  น้ำแร่เป็นน้ำดื่มที่ได้มาจากแหล่งน้ำพุธรรมชาติ ดังนั้นในน้ำดื่มเหล่านี้จึงเป็นน้ำที่ถูกสะสมอยู่บริเวณใต้พื้นดินหรือมีการผุดออกมาบริเวณตาน้ำตามธรรมชาติ เป็นน้ำธรรมชาติทั่วไปที่เรารู้จักกันดีอย่างเช่นแม่น้ำ ทะเลสาบ ห้วย หนอง คลอง บึง ขึ้นอยู่กับว่าปริมาณของน้ำตามธรรมชาติมีเท่าไหร่และภูมิศาสตร์โดยรอบเป็นอย่างไร ในน้ำเหล่านี้จึงมีแร่ธาตุผสมอยู่เป็นจำนวนมากจนกลายมาเป็นชื่อเรียกของมัน โดยแต่ละพื้นที่ก็จะมีแร่ธาตุและปริมาณที่ผสมอยู่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่ว่าน้ำที่นำมาผลิตเป็นน้ำดื่มนั้นได้มาจากที่ไหน ทั่วไปแร่ธาตุที่สามารถพบได้บ่อยในน้ำดื่มเหล่านี้จะประกอบไปด้วยไบคาร์บอเนต แคลเซียม โซเดียม แมกนีเซียม คลอไรด โพแทสเซียม และฟลูออไรด์ นอกจากนี้ยังอาจจะมีส่วนผสมของคาร์บอนไดออกไซด์ตามธรรมชาติได้อีกด้วย ดังนั้นบางครั้งดื่มเข้าไปแล้วจึงรู้สึกซ่าเหมือนกับดื่มโซดา แต่โดยส่วนใหญ่คาร์บอนไดออกไซด์มักจะถูกกำจัดออกในขั้นตอนการผลิตและการบรรจุขวดอยู่แล้ว ดังนั้นโดยรวมรสชาติและสัมผัสจึงมีความใกล้เคียงกับน้ำเปล่าทั่วไป องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับน้ำดื่มเหล่านี้ว่าจะต้องมีแร่ธาตุผสมอยู่ขั้นต่ำ 250 ส่วนต่อล้าน และยังไม่อนุญาตให้มีการเติมแต่งแร่ธาตุเพิ่มเติมอีกด้วย ข้อดีก็คือแร่ธาตุจะเข้าไปบำรุงกระดูกและฟันเนื่องจากอุดมไปด้วยแคลเซียม สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลได้ซึ่งดีต่อหัวใจ สามารถแก้อาการท้องผูกได้ แต่ข้อเสียก็มีเช่นเดียวกัน อย่างเช่นการทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนเนื่องจากมีส่วนผสมของคาร์บอนไดออกไซด์ และยังอาจมีการปนเปื้อนไมโครพลาสติกที่อันตรายต่อสุขภาพอีกด้วย ดื่มน้ำแร่ดีกว่าน้ำเปล่าหรือไม่ ไปหาคำตอบกัน  หลายคนอาจตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดเราจึงต้องเสียเงินแพงกว่าเป็นเท่าตัวเพื่อดื่มน้ำแร่แทนที่จะดื่มน้ำเปล่า บางคนก็ยอมเสียเงินมากกว่าเพราะมองว่าน้ำดื่มชนิดนี้ดื่มไปแล้วได้ประโยชน์มากกว่าเพราะมันอุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารมากมาย แต่ในความเป็นจริงแล้วถึงแม้ว่ามันจะมีสารอาหารและแร่ธาตุมากกว่า แต่มันก็ไม่ได้ต่างไปจากจำนวนแร่ธาตุและสารอาหารที่เรารับจากการรับประทานอาหารธรรมดาแต่อย่างใด เพียงแต่อาจจะช่วยเพิ่มปริมาณแต่ก็ไม่ได้เพิ่มมากเป็นพิเศษถึงขนาดนั้น และการดื่มมากเกินไปยังอาจทำให้มีภาวะน้ำเป็นพิษที่อันตรายถึงขั้นชีวิตได้อีกด้วย  #การดูแลสุขภาพ #น้ำเปล่า #น้ำแร่

<strong>กิมจิ</strong> ผักดองพื้นบ้านจากเกาหลีที่อุดมไปด้วยประโยชน์ 

กิมจิ ผักดองพื้นบ้านจากเกาหลีที่อุดมไปด้วยประโยชน์

ในแต่ละประเทศทั่วโลกนั้นก็มีวิธีการถนอมอาหารที่แตกต่างกันออกไป มันเป็นวิธีการนะตั้งแต่ในยุคโบราณที่ช่วยให้มนุษย์เรานั้นสามารถเก็บรักษาอาหารเอาไว้รับประทานได้นานขึ้นกว่าเดิม โดยวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดไปทั่วทั้งโลกก็คือการดองนั่นเอง อย่างเช่นกิมจิซึ่งเป็นผักดองพื้นบ้านจากเกาหลีที่หลายคนชื่นชอบ นอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยแล้วยังอุดมไปด้วยประโยชน์มากมายอีกด้วย จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย  รวมประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการรับประทานกิมจิ  เปิดผลข้างเคียงที่คุณอาจจะได้รับจากการรับประทานกิมจิมากเกินไป  กิมจินั้นก็เหมือนกับอาหารทุกอย่างบนโลกใบนี้ที่มีทั้งประโยชน์และโทษเช่นเดียวกัน การรับประทานในจำนวนที่มากเกินไปก็มีความเสี่ยงไม่น้อยเลยทีเดียว เนื่องจากมันเป็นอาหารหมักดองที่อุดมไปด้วยเกลือทำให้ร่างกายของคุณอาจได้รับโซเดียมเกินกว่าปริมาณที่ต้องการในแต่ละวันจากการรับประทานเข้าไปเพียงแค่เล็กน้อย มีความเสี่ยงที่จะทำให้อวัยวะในระบบย่อยอาหารอย่างลำไส้หรือกระเพาะเกิดความแปรปรวน นอกจากนี้ยังเสี่ยงที่จะทำให้ป่วยเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารอีกด้วย ผู้ที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ และโรคความดันสูง ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน  #ของกิน #การดูแลตัวเอง #ประโยชน์

<strong>น้ำยาบ้วนปาก</strong>อันตราย จริงหรือไม่ไปหาคำตอบกัน 

น้ำยาบ้วนปากอันตราย จริงหรือไม่ไปหาคำตอบกัน

เพื่อความสะอาดอย่างล้ำลึกในช่องปากของเรานอกจากแปรงฟันแล้ว บางคนก็เลือกที่จะใช้น้ำยาบ้วนปากด้วย แต่เคยสังเกตหรือไม่ว่าเวลาใช้น้ำยาบ้วนปากมักจะทำให้แสบปากอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นรสชาติหรือความแรงในการฆ่าเชื้อเองก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงมีกระแสออกมาว่าน้ำยาบ้วนปากอันตราย มันจะอันตรายจริงหรือไม่และมีวิธีการใช้ที่ถูกต้องอย่างไร ไปดูกัน เปิดอันตรายที่เกิดขึ้นได้จากการใช้น้ำยาบ้วนปากแบบไม่ถูกวิธี เปิดวิธีการใช้น้ำยาบ้วนปากอย่างถูกต้องให้ปลอดภัย ความจริงแล้วน้ำยาบ้วนปากจะเกิดอันตรายขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราใช้ผิดวิธีเท่านั้น หากเราใช้อย่างถูกต้องมันก็จะช่วยให้ปากเราหอมสดชื่นและช่วยลดแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเราจึงต้องใช้ให้ถูกต้องเพื่อสุขภาพช่องปากที่ดี เริ่มต้นจากการเลือกแบบที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์น้อยที่สุดหรือไม่มีเลยยิ่งดีเนื่องจากจะช่วยป้องกันการเกิดปัญหาอาการระคายเคืองบริเวณเยื่อบุช่องปากและอาการอักเสบในช่องปาก และต้องเลือกแบบที่มีส่วนผสมของกรดให้น้อยที่สุดเพราะจะทำให้ผิวเคลือบฟันบาง ผิวฟันกร่อน และมีปัญหาเสียวฟันตามมาได้ ก่อนใช้ให้แปรงฟันให้สะอาด ใช้ไหมขัดฟันกำจัดเศษอาหาร จากนั้นค่อยบ้วนปากเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม  #สุขภาพ #การดูแลตัวเอง #น้ำยาบ้วนปาก

<strong>น้ำมันหมู</strong>กับน้ำมันพืช อะไรอันตรายกว่ากันกันแน่ 

น้ำมันหมูกับน้ำมันพืช อะไรอันตรายกว่ากันกันแน่

ย้อนกลับไปในอดีตเมื่อสักประมาณ 20 ปีที่แล้วเราจะได้ยินข่าวว่ามีการค้นพบทางการแพทย์ว่าน้ำมันพืชนั้นมีความปลอดภัยมากกว่าน้ำมันหมู แต่ในปัจจุบันกลับมีรายงานออกมาว่าน้ำมันที่ได้จากสัตว์ดันปลอดภัยมากกว่าน้ำมันที่ได้มาจากพืชเสียอย่างนั้น เราจึงจะพาทุกคนไปหาคำตอบกันว่าอะไรอันตรายกว่ากันแน่  ทำความรู้จักกับชนิดไขมันที่อยู่ในน้ำมันหมูและน้ำมันพืช เพราะเหตุใดจึงเกิดกระแสน้ำมันพืชมีอันตรายมากกว่าน้ำมันหมู  กระแสน้ำมันพืชมีอันตรายมากกว่าน้ำมันหมูนั้นเกิดมาจากผลงานวิจัยจากต่างชาติ มีแพทย์พบว่าน้ำมันที่ได้มาจากพืชที่เกิดจากการอัดไฮโดรเจนนั้นเป็นไขมันทรานส์ที่อันตรายต่อร่างกายของเรา ในขณะที่น้ำมันที่ได้มาจากไขมันสัตว์นั้นไม่มีการอัดไฮโดรเจนแต่อย่างใด ถึงจะมีไขมันทรานส์อยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้มากจนถึงขั้นก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหากได้รับในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวัน สำหรับน้ำมันจากพืชในประเทศไทยของเรานั้นมีการผลิตแบบไม่ต้องอัดไฮโดรเจนแต่อย่างใดเพราะมีการรณรงค์ให้เลือกใช้วิธีดังกล่าวในการผลิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นน้ำมันที่ได้มาจากพืชในประเทศไทยจึงไม่อันตรายจากไขมันทรานส์ที่เกิดจากกระบวนการในการผลิตแต่อย่างใด  #สุขภาพ #การดูแลตัวเอง #น้ำมันหมู

<strong>น้ำมันมะกอก</strong> น้ำมันที่มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด

น้ำมันมะกอก น้ำมันที่มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด

บนโลกใบนี้มีน้ำมันที่ใช้ในการประกอบอาหารมากมายไม่ว่าจะเป็นน้ำมันที่ได้มาจากพืชหรือสัตว์ มีผลวิจัยเถียงกันไปมาว่าน้ำมันอะไรอันตรายกว่ากัน หากคุณไม่อยากปวดหัวกับเรื่องนี้เราขอแนะนำให้หันมารับประทานน้ำมันมะกอกเลย เนื่องจากมันเป็นน้ำมันที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุดจากน้ำมันทั้งหมดทั้งมวล สามารถรับประทานแบบไม่ปรุงร้อนก็ได้ หรือนำเอาไปปรุงอาหารก็ได้เช่นเดียวกัน จะมีประโยชน์อะไรบ้างไปดูกันเลย  รวมประโยชน์ที่จะได้รับจากการรับประทานน้ำมันมะกอก  น้ำมันมะกอก ตัวช่วยกำจัดรังแคเพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังศีรษะ นอกจากประโยชน์ที่ได้จากการรับประทานแล้ว น้ำมันมะกอกยังสามารถช่วยกำจัดรังแคบนหนังศีรษะของเราได้อีกด้วย หากเรามีปัญหาหนังศีรษะแห้งจนกลายเป็นขุยและเกิดรังแคตามมา เราสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับหนังศีรษะได้ด้วยการนำเอาน้ำมันมะกอกมาทาบริเวณเส้นผมและหนังศีรษะบางๆ ให้ทั่ว หลังจากนั้นให้ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีถึง 20 นาที เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นและแชมพู จากนั้นให้หวีผมเบาๆ เพื่อช่วยให้รังแคบนหนังศีรษะหลุดร่วงออกมา นอกจากรังแคจะหมดไปยังทำให้เส้นผมแข็งแรงไม่แห้งเสีย ดูเงางามและมีน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย  #การดูแลตัวเอง #สุขภาพ #น้ำมันมะกอก

<strong>นาฬิกาชีวิต</strong> เมื่อร่างกายของเราใช้ชีวิตตามเวลาที่คุ้นชิน 

นาฬิกาชีวิต เมื่อร่างกายของเราใช้ชีวิตตามเวลาที่คุ้นชิน

ทราบหรือไม่ว่านอกจากนาฬิกาที่เราใช้ในการดูเวลาปกติทั่วไปแล้ว ร่างกายของเรายังมีสิ่งที่เรียกว่านาฬิกาชีวิตอีกด้วย มันเป็นวงจรระบบการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายของเราตั้งแต่ตื่นจนถึงนอนหลับ ไม่เว้นแม้กระทั่งในช่วงเวลาที่เรากำลังนอนหลับอยู่ก็ตาม หากเราใช้เวลาให้ถูกต้องตามจังหวะของร่างกายก็จะช่วยให้เรานั้นสุขภาพดีและแข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิม เราจะพาทุกคนไปดูกันว่านาฬิกาของร่างกายเราทำงานอย่างไรบ้าง เปิดเวลาของนาฬิกาชีวิตในแต่ละช่วงเวลา  ทำอย่างไรหากเราไม่ได้ใช้ชีวิตตามนาฬิกาชีวิต  บางครั้งมันก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามนาฬิกาชีวิตอย่างเช่นการทำงานเป็นกะ แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะร่างกายของเราจะมีการปรับตัวให้เข้ากับเวลาใหม่ในการใช้ชีวิตของเรา แต่ถึงอย่างนั้นมันก็จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็นอยู่ดี หากเลือกได้เราอยากแนะนำให้ทุกคนใช้ชีวิตตามนาฬิกาของร่างกายก็จะดีที่สุด  #สุขภาพ #การดูแลตัวเอง #นาฬิกาชีวิต

รู้หรือไม่ ท่านั่งอาจเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คุณ<strong>ปวดหลัง</strong>

รู้หรือไม่ ท่านั่งอาจเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คุณปวดหลัง

ในปัจจุบันมีผู้ที่ป่วยเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมหรือปวดหลังอยู่เป็นประจำไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งสาเหตุก็เกิดมาจากพฤติกรรมการนั่งทำงานของเราเอง การนั่งที่ไม่ถูกต้องนั้นจะทำให้คุณรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวไม่ว่าจะเป็นหลังหรือไหล่ก็ตาม เราจึงจะพาทุกคนมาดูกันว่าท่านั่งแบบไหนบ้างที่เป็นท่านั่งผิดๆ ที่คุณไม่ควรทำโดยเด็ดขาด รวมท่านั่งที่เป็นสาเหตุของอาการปวดหลัง  ปรับท่านั่งอย่างไรไม่ให้รู้สึกปวดหลังอีกต่อไป  อย่างที่เราบอกไปว่าถ้านั่งนั้นอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณรู้สึกปวดหลังได้ ดังนั้นหากคุณไม่อยากรู้สึกปวดอีกก็ต้องปรับท่านั่งให้ถูกต้อง ควรนั่งธรรมดาโดยการปล่อยขาตามสบายทั้ง 2 ข้าง หลังควรติดเบาะหรือพนักพิงของเก้าอี้ หากเก้าอี้เป็นแบบที่มีที่วางแขนก็ควรปรับระดับความสูงต่ำให้กำลังพอดีกับโต๊ะทำงาน โดยข้อมือและข้อ 2 นั้นควรตั้งอยู่ในระนาบเดียวกัน ส่วนไหล่และข้อ 2 ควรจะทำมุม 90 องศา และที่สำคัญคือควรเปลี่ยนอิริยาบถอยู่เป็นประจำอย่างน้อยทุก 1 ชั่วโมงหรือ 30 นาทีเป็นการยืดเส้นยืดสายที่จะสามารถช่วยลดอาการปวดได้มากขึ้นกว่าเดิม  #ปวดหลัง #สุขภาพ น่ารู้ #ท่านั่ง

<strong>ท่านอน</strong> สิ่งที่มีความสำคัญและส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับของคุณ 

ท่านอน สิ่งที่มีความสำคัญและส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับของคุณ

ปัญหานอนไม่หลับเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับคนที่อยู่ตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยชรา มันเป็นปัญหาที่สามารถเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ เมื่อเรานอนไม่หลับก็ทำให้การพักผ่อนไม่เพียงพอและส่งผลกระทบต่อทั้งคุณภาพและชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนี้เราจึงจะพาทุกคนมาดูกันว่ามีท่านอนใดบ้างที่จะช่วยให้คุณนอนหลับสบายและสนิทมากขึ้นกว่าเดิม รวมท่านอนที่ช่วยแก้ปัญหาอาการนอนไม่หลับ  ทำอย่างไรหากทำท่านอนครบแล้วแต่ก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี  หากคุณลองทำท่านอนครบทั้ง 4 ท่าตามที่เราแนะนำมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วแต่ก็ยังคงมีปัญหานอนไม่หลับอยู่ดี ไม่ได้รู้สึกง่วงขึ้นเลยแม้แต่น้อย เราสามารถทำบนใหม่ได้ตั้งแต่ท่าแรกมาจนถึงท่าที่ 4 สามารถทำต่อจนกว่าจะรู้สึกง่วงนอน หากในคืนแรกทำวนไปแล้วก็ยังไม่ได้ผลอยู่ดี เราแนะนำให้ทำติดต่อกันประมาณ 1 สัปดาห์ แต่หากคุณลองทำแล้วก็ยังนอนไม่หลับหรือนอนหลับไม่สนิทอีกขอแนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างตรงจุดจะช่วยให้คุณนอนหลับได้อย่างแน่นอน  #สุขภาพ #การดูแลตัวเอง #ท่านอน

<strong>ดื่มกาแฟ</strong>แล้วท้องเสีย ปัญหาที่ทำให้หลายคนต้องหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มสุดโปรดอย่างกาแฟ 

ดื่มกาแฟแล้วท้องเสีย ปัญหาที่ทำให้หลายคนต้องหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มสุดโปรดอย่างกาแฟ

พอโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่กาแฟก็กลายมาเป็นเครื่องดื่มที่เราไม่สามารถขาดมันได้ในทุกเช้าเสียอย่างนั้น แต่อย่างไรก็ตามมีคนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ต้องประสบปัญหาดื่มกาแฟแล้วท้องเสียจนทำให้เราต้องหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มสุดโปรดอย่างกาแฟ แต่พอไม่ได้ดื่มก็ไม่ตื่นเต็มตาอย่างสดชื่น ทำงานได้ไม่เต็มที่ รู้สึกกระวนกระวายเพราะอยากได้คาเฟอีนเสียอย่างนั้น เราจึงจะพาทุกคนไปเปิดสาเหตุการว่าเพราะอะไรที่ทำให้เราท้องเสียอยู่เป็นประจำทุกครั้งที่กินกาแฟ  เปิดสาเหตุที่ทำให้คุณดื่มกาแฟแล้วท้องเสีย  ความจริงแล้วบนโลกใบนี้มีกาแฟหลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นกาแฟธรรมดาทั่วไปหรือกาแฟสำหรับลดน้ำหนักที่มียาระบายอ่อนๆ สำหรับคนที่ท้องผูกโดยเฉพาะ กาแฟแบบนั้นกินเข้าไปแล้วท้องเสียก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ แต่บางคนที่ดื่มกาแฟธรรมดาแต่ดันท้องเสียขึ้นมาได้ก็น่าปวดหัวไม่น้อยเช่นเดียวกัน สาเหตุที่ทำให้บางคนท้องเสียทุกครั้งหลังจากที่กินกาแฟเกิดมาจากการที่ในกาแฟนั้นมีคาเฟอีนซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว ไม่เพียงเท่านั้นการดื่มน้ำที่ใช้ในการชงกาแฟมากเกินกว่า 3 แก้วขึ้นไปก็จะทำให้กระเพาะยิ่งยืดตัวมากขึ้นกว่าเดิม เข้าไปกระตุ้นสารที่จะทำให้คุณขับถ่ายออกมาแบบหมดไส้หมดพุง สำหรับคนที่ไม่ค่อยกินกาแฟเท่าไหร่หรือนานทีจะกินครั้ง เราขอแนะนำว่าอย่ากินกาแฟในปริมาณมากๆ เพราะมันจะเพิ่มความเสี่ยงในการท้องเสียมากขึ้นกว่าเดิมและยังโดนฤทธิ์คาเฟอีนทำให้รู้สึกใจสั่น มีอาการนอนไม่หลับ ปวดศีรษะ หรือมีอาการวิตกกังวลได้ และมันจะยิ่งแย่กว่าเดิมไปอีกหากมีอาการแพ้คาเฟอีน จะทำให้ภายในช่องปากเกิดอาการอักเสบบวมแดงขึ้นมา มีผื่นขึ้น หรือหากหนักก็อาจจะทำให้หายใจไม่ออก คลื่นไส้อาเจียน และวิงเวียนศีรษะได้เช่นเดียวกัน  วิธีการแก้ปัญหาเมื่อดื่มกาแฟแล้วท้องเสีย หากคุณเป็นคนที่ดื่มกาแฟแล้วท้องเสียทุกครั้งมันคงจะกวนใจไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะมันทำให้คุณไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่จะขาดคาเฟอีนไปก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน เราจึงอยากจะแนะนำให้ลองหันไปดึงเครื่องดื่มอื่นที่ได้คาเฟอีนเหมือนกันโดยที่ไม่ต้องพึ่งพากาแฟที่ทำให้ท้องเสียอีกต่อไป อย่างเช่นชาหรือโกโก้ หรือจะลองดื่มเซนกาแฟที่ไม่เข้มข้นจนเกินไปก็ได้เช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นมอคค่าหรือลาเต้ ไม่เพียงเท่านั้นเรายังสามารถลดปริมาณกาแฟลงได้อีกด้วยเพียงแค่แจ้งร้านกาแฟไปว่าขอกาแฟเพียงแค่ครึ่งช็อตก็พอ ก็จะช่วยให้อาการท้องเสียของคุณบรรเทาลงไปได้ และสิ่งสำคัญก็คือควรจีบทีละนิดเท่านั้นไม่ควรดื่มหมดในรวดเดียว นอกจากนี้ยังควรหาของว่างหรืออาหารรับประทานควบคู่ไปด้วยก็จะช่วยให้ร่างกายของเราดูดซึมคาเฟอีนได้น้อยลงกว่าเดิม  #ท้องเสีย #การดูแลสุขภาพ #กินกาแฟ

<strong>ซีกสมอง</strong> รู้หรือไม่สมองซ้ายและขวาของเราทำงานแตกต่างกัน

ซีกสมอง รู้หรือไม่สมองซ้ายและขวาของเราทำงานแตกต่างกัน

ร่างกายของมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนและความน่าทึ่ง ทราบหรือไม่ว่าสมองของเรานั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายส่วน แต่ส่วนที่ผู้คนนิยมกันมากที่สุดก็คือซีกซ้ายและซีกขวานั่นเอง หลายคนคงเคยได้ยินว่าคนที่ถนัดสมองซีกซ้ายก็จะมีความเก่งเรื่องการใช้ความเป็นเหตุเป็นผลหรือตัวเลข ส่วนคนที่ใช้สมองซีกขวาก็จะมีความคิดสร้างสรรค์และชื่นชอบการใช้อารมณ์ เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับกระบวนการทำงานของซีกสมองกันว่ามันคืออะไรกันแน่  ทำความรู้จักกับกระบวนการการทำงานของซีกสมอง  สมองของมนุษย์นั้นเป็นอวัยวะที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนมากมายถึงแม้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วจะมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.3 กิโลกรัมก็ตาม แต่มันมีเซลล์ประสาทถึง 2 ล้านเซลล์ มีส่วนที่เชื่อมต่อเซลล์ประสาทมากกว่า 100 ล้านล้านส่วน ความจริงแล้วซีกสมองของเรานั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นทั้งหมด 4 ส่วนและ 2 ซีก หากแบ่งเป็นส่วนก็จะประกอบไปด้วยส่วนหน้า ส่วนหลัง ส่วนท้ายทอย และส่วนที่ซ่อนอยู่ด้านใน หากแบ่งเป็นซีกก็จะมีซีกซ้ายและซีกขวา ซึ่งซีกสมองทั้งสองฝั่งนั้นมีความใกล้เคียงกันเป็นอย่างมากเพียงแต่วิธีการในการประมวลข้อมูลจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้แยกการทำงานของใครของมันแต่อย่างใด เนื่องจากสมองในแต่ละส่วนจะถูกเชื่อมโยงกันด้วยเส้นใยประสาทอยู่แล้ว ความเชื่อที่ว่าสมองทั้ง 2 ซีกแบ่งการควบคุมการคิดวิเคราะห์ที่แตกต่างกันและแต่ละคนก็จะมีความถนัดในการใช้สมองซีกใดซีกหนึ่งเป็นพิเศษมากกว่าอีกซีก อย่างเช่นคนที่มีความถนัดสมองซีกซ้ายก็จะเก่งเรื่องการคำนวณ การใช้เหตุผล การมองตามหลักความเป็นจริง คนที่ถนัดใช้สมองซีกขวาก็จะมีความคิดสร้างสรรค์หรือใช้จินตนาการ แต่ในทางจิตวิทยาแล้วทฤษฎีดังกล่าวนั้นมีพื้นฐานจากกระบวนการทำงานของสมองทั้งสองซีกที่แตกต่างกัน เนื่องจากกระบวนการความคิดของมนุษย์ซับซ้อนดังนั้นไม่ว่าคุณจะถนัดใช้สมองซีกใดซีกหนึ่งก็ตามแต่สุดท้ายแล้วสมองก็ต้องร่วมกันประมวลผลทั้ง 2 ซีกและ 4 ส่วนอยู่ดี  เปิดเทคนิคการพัฒนาทั้งสองซีกสมองอย่างไรให้มีความคิดเฉียบคม  สิ่งสำคัญมากกว่าเรื่องซีกสมองก็คือการพัฒนาสมองของเราให้มีความคิดที่เฉียบคมอยู่เสมอเนื่องจากมันสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เป็นอย่างดีเป็นการเพิ่มพลังรวมไปถึงกระตุ้นการสร้างเซลล์ให้กับสมองได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการทำงานอดิเรกที่ต้องใช้สมาธิหรือใช้ทักษะ การเล่นเกมลับสมองหรือเกมที่ช่วยเรื่องความจำ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ การอ่านหนังสือ การเขียนไดอารี่ การพัฒนาเรื่องจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด และมีความสุขให้มากสมองของเราก็จะสุขภาพดีไปด้วย  […]