<strong>น้ำมันมะกอก</strong> น้ำมันที่มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด

น้ำมันมะกอก น้ำมันที่มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด

บนโลกใบนี้มีน้ำมันที่ใช้ในการประกอบอาหารมากมายไม่ว่าจะเป็นน้ำมันที่ได้มาจากพืชหรือสัตว์ มีผลวิจัยเถียงกันไปมาว่าน้ำมันอะไรอันตรายกว่ากัน หากคุณไม่อยากปวดหัวกับเรื่องนี้เราขอแนะนำให้หันมารับประทานน้ำมันมะกอกเลย เนื่องจากมันเป็นน้ำมันที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุดจากน้ำมันทั้งหมดทั้งมวล สามารถรับประทานแบบไม่ปรุงร้อนก็ได้ หรือนำเอาไปปรุงอาหารก็ได้เช่นเดียวกัน จะมีประโยชน์อะไรบ้างไปดูกันเลย  รวมประโยชน์ที่จะได้รับจากการรับประทานน้ำมันมะกอก  น้ำมันมะกอก ตัวช่วยกำจัดรังแคเพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังศีรษะ นอกจากประโยชน์ที่ได้จากการรับประทานแล้ว น้ำมันมะกอกยังสามารถช่วยกำจัดรังแคบนหนังศีรษะของเราได้อีกด้วย หากเรามีปัญหาหนังศีรษะแห้งจนกลายเป็นขุยและเกิดรังแคตามมา เราสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับหนังศีรษะได้ด้วยการนำเอาน้ำมันมะกอกมาทาบริเวณเส้นผมและหนังศีรษะบางๆ ให้ทั่ว หลังจากนั้นให้ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีถึง 20 นาที เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นและแชมพู จากนั้นให้หวีผมเบาๆ เพื่อช่วยให้รังแคบนหนังศีรษะหลุดร่วงออกมา นอกจากรังแคจะหมดไปยังทำให้เส้นผมแข็งแรงไม่แห้งเสีย ดูเงางามและมีน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย  #การดูแลตัวเอง #สุขภาพ #น้ำมันมะกอก

<strong>คุมหิว</strong> เทคนิคช่วยลดน้ำหนักให้ความอยากอาหารลดลง 

คุมหิว เทคนิคช่วยลดน้ำหนักให้ความอยากอาหารลดลง

ในปัจจุบันผู้คนไม่ได้ลดน้ำหนักเพียงเพื่อแค่อยากจะมีรูปร่างที่ดูดีตามความต้องการของตนเองแต่อย่างใด แต่เราหันมาลดน้ำหนักเพราะต้องการจะดูแลสุขภาพร่างกายให้มีความแข็งแรง ซึ่งการจะดูแลเรื่องน้ำหนักและรูปร่างนั้นก็ต้องให้ความสำคัญเกี่ยวกับอาหารการกินเช่นเดียวกัน สำหรับใครที่เผชิญปัญหาหิวบ่อยและไม่สามารถยับยั้งความหิวของตนเองได้ วันนี้เราจะพาทุกคนมาดูเทคนิคการคุมหิวที่จะช่วยคุณลดความอยากอาหารลงได้มากขึ้นกว่าเดิมกัน เปิดเทคนิคการคุมหิวอย่างไรให้การลดน้ำหนักง่ายกว่าเดิม  ก่อนคุมหิว จะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้หิวจริงหรือไม่ เทคนิคการคุมหิวนั้นเป็นเทคนิคการลดน้ำหนักและดูแลสุขภาพที่ควรใช้เวลาที่เราไม่ได้หิวจริง แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้เรากำลังหิวจริงหรือแค่อยากกินอะไรสักอย่างเท่านั้น วิธีการก็คือให้เราสังเกตร่างกายของตนเองว่ามีอาการท้องร้องหรือไม่ รู้สึกว่าระดับพลังงานลดลงหรือเปล่า อย่างเช่นรู้สึกอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวได้ง่ายหรือมีอาการสมองล้าจนคิดอะไรได้ช้าลงกว่าเดิม หากคุณมีอาการเหล่านี้แปลว่าร่างกายของคุณหิวจริงและต้องกินอาหารเพื่อเติมพลังงานเข้าไป แต่หากคุณไม่ได้มีความรู้สึกเหล่านี้เลยเพียงแค่เบื่อหน่าย เศร้า โกรธ หรือติดกินจุกจิกเป็นนิสัย หมายความว่าคนไข้อยากกินอะไรสักอย่าง ไม่ได้รู้สึกหิวจริง ๆ แต่อย่างใด  #สุขภาพดี #การคุมหิว #ลดน้ำหนัก

<strong>แนะนำแผ่นแปะแก้ปวด คุณภาพดี บรรเทาอาการปวดเมื่อย</strong>

แนะนำแผ่นแปะแก้ปวด คุณภาพดี บรรเทาอาการปวดเมื่อย

การปวดเมื่อยตามร่างกายสามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น การใช้งานกล้ามเนื้ออย่างหนัก, อุบัติเหตต่าง ๆ รวมทั้งอายุที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมักพบในกลุ่มวัยทำงาน สำหรับการบรรเทาอาการปวดตามร่างกายก็มีหลายวิธีด้วยกัน และหนึ่งในวิธีที่หลายคนนิยมนั่นก็คือการใช้แผ่นแปะแก้ปวด ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามในตอนนี้ก็มีการผลิตแผ่นแปะแก้ปวด หลากหลายแบรนด์และหลากหลายสูตรให้เลือกซื้อกัน ดังนั้นในบทความนี้เราจึงได้คัดสรรแผ่นแปะแก้ปวดคุณภาพดี และได้รับความนิยมมาแนะนำให้กับทุกคนกันค่ะ 1.Tiger Balm แผ่นแปะตราเสือ บรรเทาอาการปวด สูตรร้อน เย็น แผ่นแปะบรรเทาอาการปวดตราเสือสูตรนี้ เป็นสูตรเย็นที่สามารถระบายอากาศได้ดี สบายผิว ไม่ทิ้งคราบ มีส่วนผสมของการบูร น้ำมันยูคาลิปตัส และเมนทอล เหมาะสำหรับแปะบริเวณคอ บ่า ไหล่ หลัง หรือบริเวณอื่น ๆ ที่มีอาการเคล็ด ตึง หรือฟกช้ำ สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดบริเวณกล้ามเนื้อได้ยาวนาน เหมาะสำหรับคนที่ทำกิจกรรมหนัก ๆ อย่างเช่นออกกำลังกายหรือเดินเป็นเวลานาน จนเกิดอาการเคล็ดและกล้ามเนื้อฟกช้ำ ใครที่เป็นสายออกกำลังกายแผ่นแปะแก้ปวดสูตรนี้ถือว่าเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณที่สุดค่ะ 2.SOS Plus แผ่นแปะแก้ปวด Far Infrared Patch แผ่นแปะร้อนที่นำเทคโนโลยีรังสีอินฟาเรดทางการแพทย์มาพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบแผ่นแปะบรรเทาปวด ออกฤทธิ์ยาวนาน ยืดหยุ่นได้ดี โดยรังสีอินฟราเรดเป็นรังสีความร้อนชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ในร่างกายมนุษย์ สามารถออกฤทธิ์ได้ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ ทำให้รู้สึกร้อนอย่างยาวนาน […]

<strong>ซีกสมอง</strong> รู้หรือไม่สมองซ้ายและขวาของเราทำงานแตกต่างกัน

ซีกสมอง รู้หรือไม่สมองซ้ายและขวาของเราทำงานแตกต่างกัน

ร่างกายของมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนและความน่าทึ่ง ทราบหรือไม่ว่าสมองของเรานั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายส่วน แต่ส่วนที่ผู้คนนิยมกันมากที่สุดก็คือซีกซ้ายและซีกขวานั่นเอง หลายคนคงเคยได้ยินว่าคนที่ถนัดสมองซีกซ้ายก็จะมีความเก่งเรื่องการใช้ความเป็นเหตุเป็นผลหรือตัวเลข ส่วนคนที่ใช้สมองซีกขวาก็จะมีความคิดสร้างสรรค์และชื่นชอบการใช้อารมณ์ เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับกระบวนการทำงานของซีกสมองกันว่ามันคืออะไรกันแน่  ทำความรู้จักกับกระบวนการการทำงานของซีกสมอง  สมองของมนุษย์นั้นเป็นอวัยวะที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนมากมายถึงแม้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วจะมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.3 กิโลกรัมก็ตาม แต่มันมีเซลล์ประสาทถึง 2 ล้านเซลล์ มีส่วนที่เชื่อมต่อเซลล์ประสาทมากกว่า 100 ล้านล้านส่วน ความจริงแล้วซีกสมองของเรานั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นทั้งหมด 4 ส่วนและ 2 ซีก หากแบ่งเป็นส่วนก็จะประกอบไปด้วยส่วนหน้า ส่วนหลัง ส่วนท้ายทอย และส่วนที่ซ่อนอยู่ด้านใน หากแบ่งเป็นซีกก็จะมีซีกซ้ายและซีกขวา ซึ่งซีกสมองทั้งสองฝั่งนั้นมีความใกล้เคียงกันเป็นอย่างมากเพียงแต่วิธีการในการประมวลข้อมูลจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้แยกการทำงานของใครของมันแต่อย่างใด เนื่องจากสมองในแต่ละส่วนจะถูกเชื่อมโยงกันด้วยเส้นใยประสาทอยู่แล้ว ความเชื่อที่ว่าสมองทั้ง 2 ซีกแบ่งการควบคุมการคิดวิเคราะห์ที่แตกต่างกันและแต่ละคนก็จะมีความถนัดในการใช้สมองซีกใดซีกหนึ่งเป็นพิเศษมากกว่าอีกซีก อย่างเช่นคนที่มีความถนัดสมองซีกซ้ายก็จะเก่งเรื่องการคำนวณ การใช้เหตุผล การมองตามหลักความเป็นจริง คนที่ถนัดใช้สมองซีกขวาก็จะมีความคิดสร้างสรรค์หรือใช้จินตนาการ แต่ในทางจิตวิทยาแล้วทฤษฎีดังกล่าวนั้นมีพื้นฐานจากกระบวนการทำงานของสมองทั้งสองซีกที่แตกต่างกัน เนื่องจากกระบวนการความคิดของมนุษย์ซับซ้อนดังนั้นไม่ว่าคุณจะถนัดใช้สมองซีกใดซีกหนึ่งก็ตามแต่สุดท้ายแล้วสมองก็ต้องร่วมกันประมวลผลทั้ง 2 ซีกและ 4 ส่วนอยู่ดี  เปิดเทคนิคการพัฒนาทั้งสองซีกสมองอย่างไรให้มีความคิดเฉียบคม  สิ่งสำคัญมากกว่าเรื่องซีกสมองก็คือการพัฒนาสมองของเราให้มีความคิดที่เฉียบคมอยู่เสมอเนื่องจากมันสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เป็นอย่างดีเป็นการเพิ่มพลังรวมไปถึงกระตุ้นการสร้างเซลล์ให้กับสมองได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการทำงานอดิเรกที่ต้องใช้สมาธิหรือใช้ทักษะ การเล่นเกมลับสมองหรือเกมที่ช่วยเรื่องความจำ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ การอ่านหนังสือ การเขียนไดอารี่ การพัฒนาเรื่องจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด และมีความสุขให้มากสมองของเราก็จะสุขภาพดีไปด้วย  […]

<strong>กินผักป้องกันหวัด สร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย</strong>

กินผักป้องกันหวัด สร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย

ตอนนี้อากาศค่อนช้างเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวอากาศร้อน  พอตกค่ำอากาศเย็น ร่างกายยากที่จะปรับตัวได้ทัน ผลสุดท้ายก็ทำให้ป่วยได้ ดังนั้นจึงควรที่จะทานอาหารที่มีประโยชนืเพื่อเสริมภูมิร่างกายโดยวิธีง่าย ๆ โดยเริ่มจากการทานผัก  และผักอะไรบ้างล่ะที่ช่วยได้  ผักกาดขาว ผักมีประโยชน์ทานง่ายมีวิตามินซีสูง และมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย จึงช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการไอได้ด้วย  หัวหอมใหญ่ หัวหอมใหญ่ผลสีส้มกลิ่นฉุน การรับประทานหัวหอมใหญ่นั้นช่วยต้านความหนาวเย็นได้ ช่วยในการขยายหลอดลม ช่วยแก้ไอได้ บรรเทาอาการติดเชื้อได้  ขิง ขิงสดกับน้ำมะนาวใส่เกลือเล็กน้อย ใส่น้ำอุ่น ใช้จิบวันละ2 ครั้ง จะช่วยรักษาอาการหวัด บรรเทาไอ ในขิ่งสดจะต่อต้านเชื้อโรคได้ดีกว่าขิงแห้ง  กระเทียม กระเทียมหั่นหรือสับให้ละเอียดใส่ลงในน้ำมะนาวใส่น้ำผึ้ง และเติมน้ำอุ่นข้นให้เข้ากัน ใช้จิบ เมื่อรู้สึกเจ็บคอหรือระคายคอ จะช่วยบรรเทาได้  กะหล่ำปลี กะหล่ำปลีสดมีวิตามินซีที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและยังขจัดสารอนุมูลได้ด้วย เมื่อทานบ่อย ๆ จะช่วยป้องกันการอักเสบได้   พริกหวาน พริกหวานสีแดง พริกหวานสีเหลืองนั้นมีวิตามินซีระดับที่สูงมาก ๆ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน  ห่างหายจากหวัด ช่วยลดอาการไอ ไล่เสมหะ  ไล่เหงื่อ ทำให้จมูกโล่งหายใจสะดวก #สุขภาพดี #การดูแลตัวเอง #ผัก

<strong>เครียดลงกระเพาะ</strong> ปัญหาทางสุขภาพกายที่มาจากปัญหาด้านสุขภาพจิต 

เครียดลงกระเพาะ ปัญหาทางสุขภาพกายที่มาจากปัญหาด้านสุขภาพจิต

ในปัจจุบันผู้คนหันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับสุขภาพจิตมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากหลายคนตระหนักแล้วว่าปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตนั้นสามารถพัฒนาลุกลามกลายมาเป็นปัญหาทางสุขภาพกายได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงจึงต้องใส่ใจทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆ กัน 1 ในปัญหาสุขภาพกายที่มาจากปัญหาสุขภาพจิตที่หลายคนพบมากที่สุดก็คืออาการเครียดลงกระเพาะนั่นเอง วันนี้เราจึงจะรบกวนไปทำความรู้จักกับโรคดังกล่าวให้มากขึ้นกันว่ามันคืออะไรและมีอะไรเป็นสัญญาณเตือนบ้าง ทำความรู้จักกับอาการเครียดลงกระเพาะและสัญญาณเตือนที่กำลังบอกว่าคุณอาจป่วยเป็นโรคดังกล่าว  อาการเครียดลงกระเพาะนั้นเป็นปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารที่มีความสัมพันธ์กับความเครียด หลายคนอาจเคยทราบแล้วว่าโรคกระเพาะนั้นเกิดมาจากการที่เรากินอาหารรสจัดจนเกินไปหรือกินอาหารไม่ตรงเวลา แต่โรคดังกล่าวก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้จากความเครียดสะสมเช่นเดียวกัน เนื่องจากเวลาที่เราเครียดนั้นร่างกายจะสั่งกระเพาะให้มีการหลั่งน้ำย่อยออกมาในปริมาณที่มากกว่าปกติจนเกิดอาการปวดท้องเพราะโกรธเหล่านั้นไปกัดกระเพาะนั่นเอง ไม่เพียงเท่านั้นความเครียดยังสามารถส่งผลต่ออวัยวะอื่นในระบบทางเดินอาหารอีกด้วยอย่างเช่นทำให้ลำไส้แปรปรวน ลำไส้อักเสบ มีอาการกรดไหลย้อน หรือแม้แต่อาหารไม่ย่อย สัญญาณเตือนที่กำลังบอกว่าคุณอาจจะป่วยเป็นโรคดังกล่าวนั้นมีตั้งแต่รู้สึกคลื่นไส้อาเจียน เสียดแน่นทรวงอกโดยเฉพาะหลังจากที่รับประทานอาหาร รู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณลิ้นปี่และช่องท้องโดยอาการเหล่านี้จะหายไปหลังจากที่กินข้าวเรียบร้อยแล้ว รู้สึกท้องอืดท้องเฟ้อมีลมในกระเพาะอาหารอยู่เป็นจำนวนมาก เรอบ่อยผิดปกติและมีกลิ่นเหม็นน้ำย่อยเพราะกระบวนการย่อยอาหารไม่สามารถทำได้อย่างสมบูรณ์ มีอาการอาเจียนหรือขับถ่ายออกมาเป็นเลือด สำหรับสัญญาณเตือนที่กำลังบอกว่าคุณเครียดจนเกินไปแล้วก็คือรู้สึกอยากกินอาหารมากกว่าปกติเพราะต่อมไทรอยด์ได้หลั่งฮอร์โมนเพื่อเร่งการเผาผลาญออกมามากจนเกินไป ขนลุกเพราะเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังมีการหดตัว หายใจเร็วเพราะปอดขยายตัวเพื่อสร้างออกซิเจนมาเลี้ยงกล้ามเนื้อมากขึ้นกว่าเดิม และคลื่นไส้เพราะกระเพาะและลำไส้หยุดการทำงานลง ทำให้กรดในกระเพาะเพิ่มขึ้นกว่าเดิม แถมยังตามมาด้วยอาการหงุดหงิดรำคาญใจรวมถึงนอนไม่หลับอีกด้วย  เปิดวิธีการรักษาอาการโรคเครียดลงกระเพาะอย่างไรโดยเริ่มต้นจากตนเอง  หากคุณไม่อยากเป็นโรคเครียดลงกระเพาะหรือเริ่มมีสัญญาณเตือนแล้วเราก็สามารถรักษาอาการเบื้องต้นได้ง่ายๆ ด้วยตัวเองเริ่มจากการกินอาหารให้ตรงเวลาและครบทั้ง 3 มื้อทุกวัน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด ของหมักดอง อาหารทอด หรืออาหารที่ย่อยยาก งดการสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มอัดลม เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายหลั่งเอ็นโดรฟินช่วยลดความเครียด ทำกิจกรรมคลายเครียดที่ชื่นชอบอย่างเช่นการดูหนังฟังเพลงเป็นต้น  #สุขภาพ #การดูแลตัวเอง #เครียดลงกระเพาะ

<strong>ตับอ่อนอักเสบ</strong> โรคร้ายที่เกิดขึ้นกับอวัยวะที่หลายคนอาจมองข้าม 

ตับอ่อนอักเสบ โรคร้ายที่เกิดขึ้นกับอวัยวะที่หลายคนอาจมองข้าม

ร่างกายของเรานั้นเต็มไปด้วยอวัยวะมากมายดังนั้นสำหรับมนุษย์ปุถุชนทั่วไปที่ไม่ได้ดูแลร่างกายหรือสุขภาพเป็นพิเศษแน่นอนว่าบางทีเราก็ลืมดูแลบังอวัยวะไปอย่างสิ้นเชิงจนกว่าเรานั้นจะมีอาการเจ็บป่วยในบริเวณดังกล่าวถึงได้ตระหนักถึงความสำคัญของอวัยวะเหล่านี้ว่ามันก็ควรได้รับการดูแลไม่แพ้กันอย่างเช่นตับอ่อนนั่นเอง โรคตับอ่อนอักเสบที่เราจะมาพูดถึงกันในวันนี้เป็นอีกหนึ่งโรคร้ายที่อันตรายไม่แตกต่างอะไรจากมะเร็งหรือหัวใจเลยแม้แต่น้อย มันคือโรคอะไรและจะมีวิธีการรักษาอย่างไรไปดูกัน  ทำความรู้จักกับโรคตับอ่อนอักเสบ โรคที่อันตรายไม่แพ้กับมะเร็ง  โรคตับอ่อนอักเสบนั้นเป็นโรคที่เกิดขึ้นบริเวณตับอ่อนซึ่งเป็นอวัยวะที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร เป็นต่อมที่มีขนาดใหญ่และรูปร่างเรียวรีคล้ายกับใบไม้ ขนาดอยู่ที่ประมาณ 10 เซนติเมตรเท่านั้น จะซ่อนอยู่ด้านหลังของกระเพาะอาหารไม่ไกลจากลำไส้ส่วนต้น เป็นการรวมตัวกันของเซลล์จากต่อมไร้ท่อที่สร้างฮอร์โมนมากมายหลากหลายชนิดอย่างเช่นอินซูลินที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเส้นเลือดหรือเซลล์ที่สร้างน้ำย่อยอาหารที่เป็นไขมันเป็นต้น สำหรับอาการอักเสบนั้นจะสามารถแบ่งออกได้เป็นทั้งหมด 2 ชนิดประกอบไปด้วยแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง หากเป็นแบบเฉียบพลันแล้วไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องก็อาจจะพัฒนาการเป็นอาการแบบเรื้อรังในภายหลังได้เช่นเดียวกัน สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคดังกล่าวมาจากน้ำย่อยในตับอ่อนนั้นไม่สามารถไหลผ่านทางท่อของตับอ่อนได้ น้ำย่อยดังกล่าวจึงย่อยเนื้อเยื่อตัวตับอ่อนจนก่อให้เกิดอาการอักเสบตามมา หากเป็นแบบเรื้อรังก็อาจจะมีคราบหินปูนมาเกาะบริเวณอวัยวะดังกล่าวก็ได้เช่นเดียวกัน สำหรับสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าเราป่วยเป็นโรคดังกล่าวชนิดเฉียบพลันก็คือจะปวดท้องอย่างรุนแรงร้าวไปถึงบริเวณหลังประมาณ 2-3 วัน เป็นไข้ และคลื่นไส้อาเจียน หากเป็นแบบเรื้อรังก็จะมีอาการปวดท้องเป็นๆ หายๆ หรือในบางคนโชคร้ายก็อาจจะรู้สึกปวดตลอดเวลา อุจจาระจะมีสีซีดหรือเป็นสีเทา บางครั้งอาจจะมีไขมันปะปนออกมาพร้อมกับของเสียได้ และไม่ว่าจะกินเท่าไหร่ก็ไม่ทำให้น้ำหนักขึ้นแถมยังลดลงอีกต่างหาก  เปิดวิธีการรักษาเมื่อป่วยเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ  หากคุณป่วยและได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แล้วว่าเป็นโรคตับอ่อนอักเสบก็จะเข้าสู่กระบวนการรักษาซึ่งมีหลายวิธีการและขั้นตอน แพทย์อาจสั่งให้คุณนั้นงดการรับประทานอาหารและดื่มแต่น้ำเพียงอย่างเดียวเพื่อช่วยลดการทำงานของตับอ่อนลง  อาจมีการให้สารน้ำผ่านทางหลอดเลือดดำเพื่อช่วยรักษาสมดุลภายในร่างกายและยังสามารถป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำได้อีกด้วย ช่วงนี้ต้องหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ไปก่อน และหากพบว่ามีนิ่วในถุงน้ำดีก็ต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วน  #การดูแลตัวเอง #สุขภาพ #ตับอ่อน

ไข้หวัดใหญ่ อาการป่วยตามฤดูกาลที่ทั้งเหมือนและแตกต่างจากโควิด 19

ไข้หวัดใหญ่ อาการป่วยตามฤดูกาลที่ทั้งเหมือนและแตกต่างจากโควิด 19

ก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสน้องใหม่อย่างโรคโควิด 19 เราต่างมีโรคประจำถิ่นในแต่ละท้องที่เป็นของตัวเองอยู่แล้ว สำหรับในประเทศไทยนั้นโลกที่ดูเหมือนจะมีความใกล้เคียงกับโควิด 19 มากที่สุดอีกโรคหนึ่งก็คือไข้หวัดใหญ่นั่นเอง มันเป็นอาการป่วยตามฤดูกาลที่ติดต่อผ่านทางระบบทางเดินหายใจเหมือนกัน อาการที่ออกมานั้นก็มีความคล้ายคลึงกันไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ความเป็นจริงแล้วมันคือโรคคนละชนิดกัน เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับโรครุ่นพี่โควิด 19 กันว่ามันคืออะไรกันแน่และจะมีอาการเป็นอย่างไรบ้าง ทำความรู้จักกับโรคไข้หวัดใหญ่ โรคที่มีความคล้ายคลึงกับโควิด 19 โรคไข้หวัดใหญ่นั้นเป็นอาการป่วยตามฤดูกาลที่อาการนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกับโรคน้องใหม่อย่างโควิด 19 ไม่น้อยเลยทีเดียว มันเป็นโรคติดต่อบนระบบทางเดินหายใจแต่ความแตกต่างอยู่ตรงที่เชื้อไวรัสที่ติดในร่างกายของเรานั้นเป็นคนละชนิดกัน การป่วยเป็นไข้หวัดหมายถึงคุณติดเชื้อไวรัสไข้หวัด สำหรับการป่วยเป็นโรคโควิดนั้นก็จะเกิดมาจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า หากเปรียบเทียบความติดยากง่ายโควิดนั้นถือว่าสามารถแพร่กระจายรวมไปถึงติดต่อได้ง่ายกว่าโรคไข้หวัดเยอะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แปลว่าโอกาสที่คุณจะติดโรคไข้หวัดจะน้อยแต่อย่างใดเพราะมันก็สามารถติดต่อได้ง่ายไม่แพ้กัน สำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงนั้นจะมีอาการไม่ค่อยรุนแรง ส่วนใหญ่แล้วก็จะส่งผลเบื้องต้นอย่างเช่นรู้สึกไม่สบาย ปวดหัว มีไข้สูง 37.8 องศาเซลเซียสขึ้นไป รู้สึกปวดเมื่อยทั่วทั้งร่างกาย มีอาการไอแห้ง รู้สึกอ่อนเพลีย เจ็บคอ คัดจมูก ในบางรายโดยเฉพาะเด็กอาจจะพบว่ามีอาการคลื่นไส้อาเจียนหรือท้องเสียตามมาได้ ความรุนแรงของโรคก็จะต่างกันออกไปตามความแข็งแรงของร่างกาย หากเป็นเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำก็อาจจะมีอาการที่แย่กว่าคนที่มีร่างกายแข็งแรง สำหรับคนที่มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนเมื่อป่วยเป็นโรคดังกล่าวนั้นก็จะมีเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปีลงไป ผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป สตรีมีครรภ์ ภาวะอ้วน ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว แล้วผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง การติดต่อส่วนใหญ่จะมาจากละอองฝอยทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เชื้อไวรัสจะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 1-4 วันหลังจากที่สัมผัสโรค หลังจากนั้นเชื้อก็จะเพิ่มปริมาณสูงขึ้นและแพร่กระจายไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย […]

<strong>กินยา</strong>ให้ถูกต้องปลอดภัยต่อร่างกายต้องทำอย่างไรไปดูกัน 

กินยาให้ถูกต้องปลอดภัยต่อร่างกายต้องทำอย่างไรไปดูกัน

มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์เราที่จะมีอาการเจ็บป่วยเพราะร่างกายของเรานั้นสามารถถูกกระตุ้นให้เจ็บป่วยได้จากหลากหลายปัจจัยรอบตัว เมื่อเจ็บป่วยแล้วสิ่งที่เราจะต้องทำก็คือการกินยานั่นเอง เพราะยาเป็นสิ่งที่จะช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยของเราให้หายกลับมาเป็นปกติได้ เราจึงจะพาทุกคนไปดูกันว่าการรับประทานยาให้ถูกต้องและปลอดภัยต่อร่างกายนั้นจะต้องทำอย่างไรกันบ้าง  เปิดวิธีการกินยาอย่างไรให้ถูกต้องและปลอดภัยกับร่างกาย  เปิดวิธีแก้ปัญหา ทำอย่างไรหากลืมกินยาตามเวลา  มันเป็นเรื่องปกติที่เราจะลืมกินยาเพราะชีวิตประจำวันของเรานั้นเต็มไปด้วยเรื่องมากมายที่ต้องรับผิดชอบ ยิ่งยาที่มีข้อกำหนดในการรับประทานอย่างเช่นต้องรับประทานพร้อมอาหาร หลังอาหาร ก่อนมื้ออาหาร บางครั้งเป็นยาก่อนอาหารแต่ดันกินข้าวไปเรียบร้อยแล้วแต่ไม่ได้รับประทานยา บางทีเป็นยาหลังอาหารก็จริงแต่รับประทานอาหารเสร็จแล้วก็ลืมไปเลย หากคุณลืมไม่ต้องแก้ไขปัญหาอะไรทั้งนั้น ให้ปล่อยผ่านแล้วไปรับประทานยาในมื้อต่อไป ไม่ต้องรับประทานยาย้อนหลังหากคุณเลยเวลาในการรับประทานยาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะยาที่มีข้อกำหนดในการรับประทานพร้อม ก่อน หรือหลังอาหารนั้นมีเหตุผลของมันที่จะทำให้การดูดซึมหรือปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเรามีประสิทธิภาพมากที่สุดโดยที่ไม่ส่งผลอันตราย และไม่ควรเพิ่มจำนวนยาในมื้อถัดไปเป็น 2 เท่าโดยเด็ดขาด  #สุขภาพ #ทริคสุขภาพดี #กินยา

<strong>ข้าวกล้องงอก</strong> อาหารสุขภาพที่มีทั้งประโยชน์และอันตราย 

ข้าวกล้องงอก อาหารสุขภาพที่มีทั้งประโยชน์และอันตราย

ความจริงแล้วอาหารทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ของมันและอันตรายก็มีไม่แพ้กันด้วย การรับประทานอาหารจึงต้องก่อให้เกิดความสมดุลเพื่อที่เราจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากอาหารเหล่านั้น เช่นเดียวกันกับข้าวกล้องงอกซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารสุขภาพที่มีประโยชน์มากมายแต่มันก็มีอันตรายเช่นเดียวกัน เราจึงจะพาทุกคนไปดูกันว่าประโยชน์และอันตรายของอาหารเมนูนี้จะมีอะไรกันบ้าง  ทำความรู้จักกับข้าวกล้องงอก อาหารสุขภาพที่ต้องรับประทานอย่างพอดี  ข้าวกล้องงอกนั้นเป็นที่รู้จักกันในฐานะอาหารสุขภาพ คนที่กำลังลดน้ำหนักหรือดูแลสุขภาพจะนิยมรับประทานเป็นอย่างมาก มีให้เลือกทั้งแบบรับประทานเป็นเมล็ดข้าวหรือแม้แต่น้ำเข้าพร้อมดื่มก็ตาม แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะสำหรับการรับประทานเมนูนี้แต่อย่างใด พวกเขาเป็นข้าวกล้องที่นำเอาไปผ่านกระบวนการอย่างเช่นการแช่น้ำหรือกระบวนการอื่นเพื่อทำให้มีรากงอกออกมาดังนั้นลักษณะจึงคล้ายกับถั่วที่เริ่มมีรากงอกออกมาแล้วตามชื่อของพวกเขา ข้าวเหล่านี้จะมีกรดอะมิโนที่สามารถรักษาสมดุลของสมองได้ ช่วยให้เรารู้สึกสมองผ่อนคลาย นอนหลับสบายมากขึ้นกว่าเดิม แถมยังเข้าไปช่วยกระตุ้นการทำงานต่อมไร้ท่อที่ทำหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนสำหรับการสร้างเนื้อเยื่อ ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงจากการได้รับการฟื้นฟูมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ยังทำให้กล้ามเนื้อกระ สามารถลดการสะสมของไขมันในร่างกายได้ อุดมไปด้วยวิตามินมากมายที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งกระจ่างใส ลดความดันโลหิตได้เป็นอย่างดี ช่วยป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ สามารถลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือดได้ ช่วยรักษาผู้ที่นอนไม่หลับหรือป่วยเป็นโรควิตกกังวล เป็นโรคลมชัก สามารถปรับฮอร์โมนในวัยทองได้เป็นอย่างดี ลดอาการท้องผูกเนื่องจากมีไฟเบอร์สูง ช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีอันตรายเช่นเดียวกันเพราะมันมีพิวรีนสูงเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์เป็นอย่างยิ่งเนื่องจากผู้ป่วยโรคดังกล่าวร่างกายจะไม่สามารถเผาผลาญสารดังกล่าวได้ เมื่อรับประทานเข้าไปในปริมาณมากมันก็จะตกค้างในร่างกายและกลายเป็นกรดยูริคซึ่งจะไปเกาะตามข้อทั้งหลายจนทำให้รู้สึกปวดหรือมีอาการโรคกำเริบนั่นเอง นอกจากนี้ผู้ที่มีกรดยูริคในเลือดสูงหรือป่วยเป็นโรคไตอักเสบ โรคนิ่ว ยังควรหลีกเลี่ยงการรับประทานข้าวประเภทนี้ด้วยเช่นเดียวกัน  ผู้ป่วยโรคเกาต์รับประทานข้าวกล้องงอกไม่ได้แล้วข้าวกล้องธรรมดารับประทานได้หรือไม่  ในเมื่อผู้ป่วยโรคเกาต์ไม่สามารถรับประทานข้าวกล้องงอกได้แต่อยากจะดูแลสุขภาพและบำรุงสมองหลายคนก็หันไปให้ความสนใจเข้ากล้องธรรมดา ซึ่งต้องบอกก่อนว่าข้าวกล้องทั่วไปก็มีสารพิวรีนอยู่เช่นเดียวกันเพียงแต่ว่าจะมีปริมาณน้อยกว่าเนื่องจากไม่มีส่วนที่งอกออกมาซึ่งเป็นยอดอ่อนหรือเป็นราก หากไม่มั่นใจจะรับประทานแบบผสมกับข้าวขาวก็ได้เช่นเดียวกัน หากไม่มีอาการหรือโรคไม่กำเริบจะเพิ่มปริมาณข้าวกล้องขึ้นเพื่อสังเกตอาการก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดีเราขอแนะนำว่าให้รับประทานข้าวขาวทั่วไปแล้วไปเสริมวิตามินหรือไฟเบอร์จากอาหารประเภทอื่นที่ไม่ก่อให้เกิดอาการกำเริบจะดีกว่า  #สุขภาพ #การดูแลตัวเอง #ข้างกล้องงอก